Melody Beauty. ขับเคลื่อนโดย Blogger.

น้ำมันหอมระเหยบริสุทธิ์ เพื่อสุขภาพดี...อย่างถูกวิธี


ปัจจุบันการบำบัดโรคด้วยกลิ่นหอมเป็นที่นิยมอย่างแพร่หลาย นอกจากช่วยบรรเทาอาการของโรคแล้ว ยังช่วยให้รู้สึกผ่อนคลายความเครียดจากกิจวัตรต่างๆ ในชีวิตประจำวัน
แต่ละกลิ่นมีคุณสมบัติแตกต่างกัน การเลือกกลิ่นที่เหมาะสม ไม่เพียงการพิจารณาสรรพคุณเท่านั้น ควรเลือกกลิ่นที่ชอบ สูดดมแล้วรู้สึกสดชื่น ไม่ฉุนจนหงุดหงิดรำคาญใจ และหากมีข้อสงสัยควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ ย่อมช่วยให้ได้รับประโยชน์จากกลิ่นอย่างแท้จริง
ไม่เพียงการสูดดม ซึ่งเป็นวิธีที่ง่ายที่สุดในการรับกลิ่นเข้าสู่ร่างกาย การนวดด้วยน้ำมันหอมระเหย การผสมน้ำมันหอมระเหยลงไปในปริมาณที่เหมาะสมขณะอาบน้ำ ประคบในบริเวณที่ต้องการ จุดเทียนหอมกลิ่นต่างๆ ภายในห้อง ตลอดจนใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของกลิ่นพืชพรรณธรรมชาติ ก็ช่วยในการส่งกลิ่นหอมเข้าสู่ประสาทสัมผัสรับกลิ่นได้ดี
แม้จะสามารถใช้กลิ่นหอมเพื่อช่วยบำบัดโรคต่างๆ ได้ แต่ก็ควรพึงตระหนักอยู่เสมอว่า ไม่ควรใช้ในปริมาณที่มากจนเกินไป และอย่าใช้หลายชนิดในเวลาเดียวกัน เพราะอาจเกิดการระคายเคืองต่อเยื่อบุทางเดินหายใจและหลอดลม โดยเฉพาะในสตรีมีครรภ์ เด็กเล็ก ทารก ผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูง และผู้ป่วยโรคลมชัก กรณีที่ต้องการใช้น้ำมันหอมระเหยเพื่อรักษาโรค ต้องอยู่ภายใต้การดูแลและคำแนะนำของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น สำหรับการใช้น้ำมันหอมระเหยเพื่อความงาม ต้องมีการทดลองใช้ 3-7 วัน เพื่อป้องกันอาการแพ้ที่จะเกิดขึ้น และควรใช้ที่มีคุณภาพดีเท่านั้น

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

เรื่องขำขันอย่างไม่น่าเชื่อ แค่นอนหลับทำให้ลดอ้วนได้



แค่ชื่อเรื่องก็ดูขำอย่างไม่น่าเชื่อ แค่นอนหลับจะทำให้ความอ้วนของคุณหายไปได้อย่างไร ในขณะเดียวกันการไม่นอนนี้แหละจะเป็นตัวขัดขวางไม่ให้คุณผอมลง



          เหตุผลแรกก็คือ เมื่อไม่ได้นอนจะส่งผลให้ร่างกายเกิดความเครียด และจะหลั่ง Cortisol ออกมา ซึ่งเป็นตัวเพิ่มการไหลเวียนของกลูโคส (รวมถึงโปรตีนและไขมัน) ในกระแสเลือด เมื่อร่างกายผลิต Cortisol ออกมาในอัตราที่สูง เนื่องจากความเครียดต่าง ๆ นั้น 

          สิ่งที่ตามมาก็คือ 
Cortisol จะออกคำสั่งให้ร่างกายเตรียมพลังงานให้พร้อม เพื่อรับมือกับสภาวะเครียดที่กำลังเกิดขึ้น โดยการเพิ่มปริมาณกลูโคสในกระแสเลือดให้มากกว่าปกติ และจะทำให้คุณสูญเสียการสร้างกล้ามเนื้อ ยิ่งถ้าคุณกำลังควบคุมน้ำหนักหรือลดความอ้วน ปัญหาจะตามมาทันที เพราะจะทำให้พลังงานในรูปแบบของกลูโคส (รวมถึงไกลโคเจน) นั้นไม่เพียงพอ เนื่องจากกลุ่มคนดังกล่าวนั้นรับประทานอาหารน้อยกว่าปกติ ยิ่งทำให้เมตาบอลิซึมทำงานช้าลง และน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น



ระดับฮอร์โมนการเติบโตของเราจะเพิ่มขึ้นขณะหลับ ซึ่งจะช่วยสร้างกล้ามเนื้อและลดความอ้วนได้ ฉะนั้นยิ่งหลับนานเท่าไร ก็ยิ่งได้ผลดีเยี่ยมในการลดน้ำหนักมากเท่านั้น

          การออกกำลังกายนับเป็นวิธีลดน้ำหนักได้ดีเยี่ยมวิธีหนึ่ง แต่ถ้าไม่มีเวลาขอแค่นอนให้เพียงพอ 8 ชั่วโมงต่อวัน ก็จะช่วยเร่งอัตราการสร้างกล้ามเนื้อจากอาหาร และพลังงานที่ได้รับอย่างดีเยี่ยม

Just Sleeping More

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

การเดิน-การวิ่ง สุดยอดการออกกำลัง


   ถ้าปัจจุบันคุณออกกำลังด้วยการเดินอย่างเดียว และหวังว่าตัวเองแข็งแรงพอที่จะเปลี่ยนเป็นการวิ่งต่อไปในอนาคต รู้มั้ยว่า เอาเข้าจริงคุณไม่มีวันที่จะแข็งแรงพอที่จะเปลี่ยนการเดินเป็นวิ่งได้หรอก ถ้าออกกำลังด้วยการเดินเพียงอย่างเดียว



วิธีการที่ดีที่สุดก็คือ เพิ่มการวิ่งช่วงสั้นๆ สลับกับการเดินของคุณ และยืดระยะเวลาการวิ่งเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ สำหรับคนเพิ่งเริ่มต้น ลองเดินก่อนห้านาทีเพื่อวอร์มอัพ จากนั้นวิ่ง 30 วินาทีและเดินอีกสามนาที สลับกันแบบนี้ไปเรื่อยๆ แล้วกลับสู่การเดินเสมอเมื่อคุณเริ่มเหนื่อยหอบ ทำแบบนี้อย่างช้าๆ เป็นเวลาหลายสัปดาห์ พยายามเพิ่มความยาวของการวิ่งขึ้นเรื่อยๆ ขณะเดียวกันก็ลดการเดินไปจนกระทั่งคุณสามารถวิ่งได้อย่างต่อเนื่อง




อย่างไรก็ดี คุณไม่ควรเลิกการเดินเสียทั้งหมด แม้แต่นักวิ่งจำนวนมาก ตอนนี้ต่างก็หันมาเดินควบคู่ไปกับการวิ่ง เพื่อลดแรงกระแทกที่มีต่อร่างกาย การเดินสลับกับวิ่งก็เป็นการผสมผสานที่ยอดเยี่ยมอย่างมาก มันหนักหน่วงกว่าการเดินเพียวๆ แต่สามารถทะนุถนอมร่างกายได้มากกว่าการวิ่งเอาเป็นเอาตายอย่างเดียว

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

อาหารและวิธีการลดน้ำหนักที่ช่วยให้หลับสบายยิ่งขึ้น


คนที่มีน้ำหนักเกินจนสะเทือนตาชั่ง มักมีปัญหาในการนอนหลับ 
แต่ถ้าลดน้ำหนักลงก็จะช่วยให้นอนหลับฝันดีและมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น

ทั้งนี้ทีมงานของ ด็อกเตอร์จอห์น ดิกสัน จากมหาวิทยาลัยโมนาสห์ นครเมลเบิร์น ประเทศออสเตรเลีย ได้ทำการค้นคว้าทดลองกับคนที่มีน้ำหนักเกินได้ผลว่า 48 % ของผู้ชาย และ 38 % ของผู้หญิงที่มีปัญหากับคุณภาพการนอนหลับอันเนื่องมาจากการหายใจติดขัดขณะนอนหลับ จนทำให้สะดุ้งตื่นขึ้นมากลางดึกบ่อยๆ ส่วนตอนกลางวันก็จะมีอาการง่วงเหงาหาวนอน นอกจากนี้ คนอ้วนที่ต้องทนทุกข์ทรมานกับอาการนอนหลับไม่เต็มอิ่ม ยังมีความเสี่ยงกับการเป็นโรคหัวใจและหลอดเลือด รวมทั้งโรคเบาหวาน

...ใครรู้ว่าน้ำหนักเกิน (พอดี) ก็รีบลดซะนะคะ



แนะนำ 6 อาหารช่วยให้นอนหลับสบาย


1. กล้วย ผลไม้ที่เป็นแหล่งสะสมของแมกนีเซียม มีสรรพคุณช่วยผ่อนคลายกล้ามเนื้อ ทำให้รู้สึกผ่อนคลายสบายตัว อีกทั้งในกล้วยมีฤทธิ์ลดการหลั่งสารซีโรโทนินหรือฮอร์โมนควบคุมการนอนหลับ ทำให้ร่างกายถูกกระตุ้นน้อยลง

2. ชาคาโมไมล์ ใช้ดื่มก่อนนอน ช่วยลดอาการกระสับกระส่ายหรือตื่นเต้นจากอาการหวาดกลัว

3. นมอุ่น ๆ ผสมน้ำผึ้งหยดเดียว จะช่วยให้สมองลดการหลั่งโอเรซิน หรือสารสื่อประสาทตื่นตัว ให้ตื่นตัวน้อยลง

4. มันฝรั่งปริมาณน้อย ย้ำ! ปริมาณน้อย เพราะจะไม่รบกวนกระเพาะอาหารมาก แต่จะช่วยลดกรดที่จะรบกวนการหาว ซึ่งกระตุ้นการหลั่งทริปโตแฟน หรือกรดอะมิโนธรรมชาติ มีมากในอาหารโปรตีน สมองเปลี่ยนทริปโตแฟนเป็นฮอร์โมนซีโรโทนินซึ่งช่วยควบคุมการนอนหลับอีกที ทานกับนมอุ่น ๆ สักแก้ว เวิร์กสุด ๆ

5. ข้าวโอ๊ตและอัลมอนด์ อุดมไปด้วยสารที่ช่วยให้นอนหลับสบาย การทานซีเรียลผสมอัลมอนด์ชามเล็ก ๆ ราด้วยน้ำเชื่อมเมเปิล จะทำให้หลับสบาย

6. ขนมปังธัญพืช ทานกับน้ำชาผสมน้ำผึ้งหยดเดียว มีฤทธิ์กระตุ้นสารหลั่งอินซูลิน ช่วยให้ทริปโตแฟนเข้าสู่สมองได้ดีขึ้น

เห็นไหม หลับฝันดีได้ โดยไม่ต้องพึ่งยานอนหลับ แต่อย่าลืมนะว่า ก่อนตรวจสุขภาพห้ามทานยาทุกชนิดจ้า 

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

เคล็ดลับปราบ..ไมเกรน


คนที่มีปัญหากับไมเกรน ปวดศีรษะตุบๆ รุนแรง เริ่มจากใกล้ดวงตาหรือขมับด้านใดด้านหนึ่งซ้ำๆ คงทุกข์ทรมานไม่น้อย เมื่อวันดีคืนดีก็รู้สึกปวดไมเกรนขึ้นมา บางคนมีอาการตาพร่าและคลื่นไส้อาเจียนเป็นของแถม เรามีวิธีรับมือไมเกรนอย่างเร่งด่วนดังนี้
-หลีกเหลี่ยงปัจจัยก่อไมเกรน บางครั้งคุณอาจปวดไมเกรนเนื่องจากความเครียด การดื่มแอลกอฮอล์ กินอาหารไขมันสูงและช็อคโกแลต หมั่นสังเกตตัวเองว่าเกิดจากสาเหตุใดก็หลีกเลี่ยงสิ่งนั้น
-แมกนีเซียมป้องกันไมเกรนได้ ข้อแนะนำคือ การกินแมกนีเซียมวันละ 600 มล. และวิตามินบี2 หรือกินอาหารที่มีแมกนีเซียม อย่าง เนื้อปลา ธัญพืช ถั่วเหลือง นม ผักสีเขียว ส่วนอาหารที่มีวิตามินบี2 อยู่มาก คือ ตับ เนื้อไก่ นม ไข่ และธัญพืช
-กดจุดลดอาการปวด ให้คุณใช้นิ้วชี้และนิ้วหัวแม่มือของมือขวากดที่ตรงกลางระหว่างนิ้วชี้และนิ้วหัวแม่มือของมือซ้าย 10 วินาทีพร้อมกับนวดเบาๆ ทำสลับกันสองข้าง เสร็จแล้วอาจกดนวดที่ปลายหางคิ้วอีก 10 วินาที
-น้ำมันเปปเปอร์มินต์แก้ปวด ใช้ถูบริเวณขมับและหนเผาก จะช่วยลดอาการปวดลงได้
-กินคาร์บอไฮเดรตเป็นอาหารเช้า การปวดไมเกรนมักเกิดจากเซลล์เส้นประสาทรับพลังงานไม่เพียงพอ ดังนั้น จึงควรกินอาหารเช้าอุ่นๆ ที่มีสารคาร์บอไฮเดรต อย่างอาหารเช้าแบบไทยๆ ประเภทข้าวต้มนี่แหละเก๋สุด

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

รู้หรือไม่ ?!? สีเขียวช่วยบำบัดโรคความดันโลหิตสูง


ราบหรือไม่? สีสันที่อยู่รอบๆ ตัวเรา สามารถมีผลต่ออารมณ์ความรู้สึกและสุขภาพของเราได้ โดยเฉพาะ "สีเขียว" ซึ่งเป็นสีที่ควรนำมาแวดล้อมตัวคุณ มันจะช่วยให้คุณรู้สึกผ่อนคลาย จึงมีประโยชน์มากสำหรับคนที่มีปัญหาเกี่ยวกับโรคความดันโลหิตสูงหรือเกี่ยวกับหัวใจ
green1.jpg Green-bedroom-interior-Index-1.jpg
คนที่ควรหลีกเลี่ยง ถ้าคุณกำลังตั้งครรภ์หรือมักแพ้ท้องตอนเช้า สีเขียวจะยิ่งกระตุ้นอาการวิงเวียน คลื่นไส้ นอกจากนี้สีเขียวยังอาจทำให้คุณผ่อนคลายมากเกินไปจนละเลยเรื่องเวลาได้ ฉะนั้น ถ้าคุณเป็นคนจัดอยู่ในกลุ่ม “คุณนายสายเสมอ” เรื่อยๆ เฉื่อยแฉะ ทางที่ดีควรอยู่ห่างๆ สีเขียวบ้างอะไรบ้างก็จะดีไม่น้อย

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

ซิท-อัพ (sit up) เท่าไหร่พุงก็ไม่ยุบสักที...ทำไงดี ?


มีหลายคนที่ต้องการลดไขมันหน้าท้องหรือพุงด้วยการซิท-อัพ (Sit-Up) โดยเน้นจำนวนครั้งมากๆ ประมาณ 20-30 ครั้งต่อเซต โดยเชื่อว่าการทำซิต-อัพบ่อยครั้ง จะทำให้ไขมันบริเวณหน้าท้องลดลงได้ และช่วยให้พุงยุบ รูปร่างเพรียว มีสัดส่วนมากขึ้น แต่ในความเป็นจริงดูเหมือนว่าพุงจะไม่ยุบลงไปเลย แล้ววิธีที่จะช่วยให้หน้าท้องลดและพุงยุบอย่างถูกต้องทำอย่างไร?

ขณะที่ทำซิต-อัพ ร่างกายไม่สามารถลดไขมันบริเวณหน้าท้องหรือพุงลงได้ แต่การจะลดไขมันหน้าท้องให้ลงได้นั้น จะต้องปฏิบัติดังนี้
1.ออกกำลังกายแบบแอโรบิก (Aerobic Exercise) ได้แก่ การเดิน เดินเร็ว วิ่งเหยาะๆ ปั่นจักรยาน ว่ายน้ำ เต้นแอโรบิก และอื่นๆ ต่อเนื่องติดต่อกันนาน 20 นาทีขึ้นไป อย่างน้อยสามวันต่อสัปดาห์
2.ต้องซิต-อัพเป็นประจำ เพื่อเสริมสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ (จำนวนครั้งในการเล่น จะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับความแข็งแรงของกล้ามเนื้อหน้าท้องของแต่ละคน)

3.ควบคุมการรับประทานหรือเลือกชนิดของอาหารที่จะรับประทานในแต่ละวันไม่ให้มากจนเกินไป หรือลดการกินอาหารที่มีแคลอรีสูงๆ เช่น น้ำตาล ของหวาน ของทอด มันฝรั่งทอด ขนมเค้ก ขนมปัง ไอศกรีม ผลไม้รสหวาน ช็อคโกแลต กะทิ ไขมัน ฯลฯ
เพียงปฏิบัติตามทั้งสามข้อนี้เป็นประจำสม่ำเสมอ ก็จะทำให้พุงมีขนาดเล็กลง ลดการสะสมไขมันในร่างกาย สุขภาพดีขึ้น มีรูปร่างทรวดทรงดีขึ้น และรู้สึกมั่นใจในรูปร่างของตนเองที่สุดเลยล่ะ

วิธีซิทอัพ

"ซิทอัพ" คือ ท่าออกกำลังกายที่นอนราบกับพื้นแล้วเกร็งหน้าท้องยกตัวท่อนบนขึ้นนั่นเอง

ท่าที่ทำกันเป็นปกติก็คือ นอนราบ ขาเหยียดตรง ยกตัวท่อนบนขึ้นในท่านั่งเทตัวก้มลงจนศอก (เกือบ) ชิดเข่า เสร็จแล้วก็มานั่งบ่น ปวดนั่นเมื่อยนี่ ก็แหม๋...เพราะทำท่านั้นกล้ามเนื้อส่วนสะโพกต้องใช้แรงมากและนานไปจะทำให้กระดูกสันหลังส่วนล่างคดงออีกด้วย

ที่ถูกต้องตรงประเด็นของการออกกำลังกายท่านี้ก็ต้อง ชันเข่าขึ้น มือประสานกันไว้ท้ายทอย ยกตัวขึ้นลงอย่างช้า ๆ ในระดับไม่สูงนัก คือไม่เกิน 45 องศา กล้ามเนื้อที่จะถูกใช้งานมากที่สุดก็จะเป็นหน้าท้องตามจุดประสงค์ในการลดห่วงไขมันด้วยท่านี้แล
ถ้าคุณทำผิดวิธี การซิตอัพก็จะทำให้หน้าท้องของคุณขยายขึ้น ทำให้พุงของคุณดูใหญ่กว่าที่เป็นอยู่ วิธีซิตอัพที่ถูกต้องคือ แขม่วหน้าท้องโดยหายใจออกเมื่อคุณงอตัวขึ้นมา และหายใจเข้าเมื่อคุณนอนราบลงไป

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

ความเชื่อผิดๆ กับการออกกำลังกาย


อยากได้ผลลัพธ์ดีขึ้นจากการออกกำลังงั้นเหรอ? คุณต้องไม่ตกหลุมพรางกับเรื่องโกหกในการออกกำลังที่พบได้บ่อยๆ เหล่านี้

ความเชื่อผิดๆ ที่ 1 การหายใจของคุณต้องสอดคล้องกับการเคลื่อนไหวในขณะยกน้ำหนัก
ข้อเท็จจริง ผลการศึกษาที่มหาลัยวอเตอร์ลู ออนตาริโอ ประเทศแคนาดาพบว่า คนที่ฝึกความแข็งแกร่งซึ่งหายใจตามธรรมชาติของตัวเอง สามารถรักษาระดับของหน้าท้องและกล้ามเนื้อหลังให้คงที่ได้ดีกว่า ช่วยในการป้องกันอาการบาดเจ็บ ต่อไปเลิกหายใจแบบเครื่องจักรได้แล้ว แต่ก็ต้องมั่นใจว่าไม่ได้กลั้นหายใจด้วยนะ
ความเชื่อผิดๆ ที่ 2 หลังจากลืมตาตื่นนอน ควรยืดเส้นยืดสายเป็นสิ่งแรก
ข้อเท็จจริง ความเสี่ยงต่อการบาดเจ็บจะสูงมากเมื่อคุณเพิ่งตื่นนอน หลังของคุณจะมีของเหลวมาคั่งอยู่ อีกทั้งความตึงของร่างกายก็มากกว่าเป็นสามเท่า ฉะนั้น ควรออกกำลังกายใดๆ หนึ่งชั่วโมงให้หลังจากตื่นนอนไปแล้ว
ความเชื่อผิดๆ ที่ 3 คุณควรกดหลังส่วนล่างให้แนบกับพื้น และวางมือไว้หลังศีรษะ เวลาทำท่าซิทอัพบริหารหน้าท้อง
ข้อเท็จจริง การกดหลังให้แนบกับพื้น เป็นการเพิ่มแรงกดให้กระดูกสันหลัง เพิ่มโอกาสให้คุณบาดเจ็บได้อีก นอกจากนี้ การวางมือรองไว้ที่บั้นเอว เป็นท่าที่ปลอดภัยและเป็นกลางที่สุด ลองทำท่าดังนี้ นอนหงาย งอเข่าข้างนึง อีกข้างวางเหยียดไปกับพื้น เพื่อตรึงเชิงกรานให้อยู่กับที่ สอดมือเข้าไปวางรองที่บั้นเอว รักษาลำคอให้ตรงขณะเกร็งหน้าท้องยกตัวขึ้นและลดลง ทำสามเซ็ทๆ ละ 15 ครั้ง
















  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

ปั้นหุ่นให้เซ็กซี่กับ 5 ท่าบริหาร


ในการสร้างส่วนโค้งเว้าให้ดูเร้าใจนั้น คุณต้องใส่ใจกับการสร้างความแข็งแกร่งให้แก่กล้ามเนื้อ ด้วยการออกกำลังเฉพาะส่วน ท่าออกกำลังต่อไปนี้จะช่วยปั้นกล้ามเนื้อในส่วนที่ทำให้เรือนร่างของคุณดูเซ็กซี่ ออกกำลังครั้งต่อไปอย่าลืมผสมผสานท่าบริหารเหล่านี้เข้ากับการออกกำลังตามปกติสัก 3-4 ครั้งต่อสัปดาห์ แล้วจะเห็นผลทันตาในเวลาไม่ถึงเดือน โดยไม่จำเป็นต้องพึ่งครีมลดกระชับใดๆ ทั้งสิ้น
-ต้นแขน
ท่าบริหาร ยืนถือเวตหนักอันละแปดปอนด์ไว้ในมือทั้งสองข้าง ให้ฝ่ามือหงายออก กดข้อศอกให้แนบตัวไว้ ขณะที่ยกน้ำหนักขึ้นมาจนแขนท่อนล่างขนานกับพื้น จากนั้น เหยียดแขนตรงออกไปข้างหน้าแล้วดึงออกมาให้ข้อศอกแนบลำตัวเหมือนเดิม ก่อนจะเหยียดแขนขึ้นเหนือศีรษะ พร้อมกับหมุนข้อมือให้ฝ่ามือหันออกด้านหน้า ค่อยๆ กลับคืนสู่ท่าเดิม ทำสองเซ็ทๆ ละ 10 ครั้ง
-ไหล่
ท่าบริหาร ยืนตรงถือเวตหนักแปดปอนด์ไว้ในมือทั้งสองข้าง หันฝ่ามือเข้าหาตัวเอง เหยียดแขนตรงไปข้างหน้า ยกสูงขึ้นให้อยู่ในระดับไหล่ จากนั้นกลับสู่ท่าเดิมแล้วยื่นมือไปข้างหลัง วางข้อนิ้วลงบนก้น ให้แขนงอเล็กน้อย แล้วยกเวตขึ้นไปข้างหลังให้สูงที่สุดจนรู้สึกตึงที่หน้าอก พยายามรักษาหลังให้ตรง จากนั้นค่อยๆ กลับสู่ท่าเริ่ม ทำสองเซ็ทๆ ละ 10 ครั้ง
-หน้าท้อง
ท่าบริหาร นอนหงายวางมือไว้ใต้ศีรษะ ใช้กล้ามเนื้อท้องในการยกคอและไหล่ให้พ้นจากพื้น และยกขาเหยียดตรงขึ้นให้สูงจากพื้น 45 องศา หันปลายนิ้วเท้าออกด้านข้าง แล้วไขว้ขาซ้ายเหนือขาขวา จากนั้นสลับมาไขว้ขาขวาเหนือขาซ้ายอย่างรวดเร็ว ทำสลับกันไปมาอย่างน้อย 30 วินาที
-ก้น
ท่าบริหาร ยืนตรงแยกขาห่างเท่าระยะสะโพก ถือเวจตหนักแปดปอนด์เอาไว้ในมือทั้งสองข้าง ใช้ขาขวาก้าวยาวๆ ถอยไปข้างหลัง และงอเข่าซ้ายจนกระทั่งต้นขาขนานกับพื้น จากนั้นยกเข่าขวาขึ้นมาข้างหน้าจนสูงในระดับสะโพก ให้ต้นขาขวาขนานกับพื้น แล้วกลับสู่ท่าเริ่ม ทำซ้ำ 10 ครั้ง แล้วเปลี่ยนขา
-น่อง
ท่าบริหาร ยืนแยกเท้าห่างออกจากกันเท่าช่วงสะโพก ปลายเท้าชี้ออก งอเข่าและหย่อนร่างกายท่อนล่างจนกระทั่งต้นขาขนานกับพื้น ยกส้นเท้าทั้งสองข้างให้สูงพ้นจากพื้น จากนั้นยกตัวขึ้นตรงในขณะที่ยังยกส้นเท้าอยู่ ค่อยๆ กลับสู่ท่าเริ่ม ทำสองเซ็ทๆ ละ 10 ครั้ง

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

เพื่อสาวสุขภาพดี ลองหันมาลดปริมาณน้ำตาลและเกลือกันเถอะ


ต่อไปนี้ ทุกครั้งที่คิดจะซื้อของกินเข้าบ้าน อย่าลืมอ่านฉลากข้างกล่องหรือขวดผลิตภัณฑ์ ตรวจดูปริมาณน้ำตาลและเกลือที่ผสมอยู่ในอาหารแต่ละชนิด

คุณอาจช็อคได้ถ้ารู้ว่า อาหารพื้นๆ บางอย่างที่ไม่คาดคิด ไม่ว่าจะเป็น ซอสมะเขือเทศ สปาเก็ตตี้ซอส เนยถั่ว น้ำผลไม้ ซีเรียล ฯลฯ จะมีน้ำตาลผสมอยู่เพียบ แฝงอยู่ในรูปของกลูโคส ฟรุตโตส ซูโคสและคอร์นไซรัป ขณะที่อาหารกระป๋องประเภทซุป เนื้อ หรือปลากระป๋องก็มีปริมาณโซเดียมหรือเกลือเกือบ 2,000 มิลลิกรัมต่อถ้วยตวง ซึ่งที่จริงแล้ว ปริมาณโซเดียมที่บริโภคได้ต่อวันไม่ควรเกิน 290 มิลลิกรัม ทั้งนี้ทั้งนั้น ร่างกายยังคงต้องการมันบ้าง เพื่อให้ระบบการทำงานขับเคลื่อนไปได้ด้วยดี

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

ช็อคโกแลต...ของหวานที่เกินจะห้ามใจ


เคยมั้ย? กับอาการอยากกินช็อคโกแลตมากๆ จนหงุดหงิดเหมือนคนเสพติดอะไรสักอย่าง...
hh2_b.jpg
ผู้เชี่ยวชาญยอมรับว่า ไม่มีสิ่งใดทดแทนความอยากกินช็อคโกแลต นอกจากช็อคโกแลตเท่านั้น อาการอยากกินอาหารอย่างใดอย่างหนึ่งนี้ มักถูกกระตุ้นจากความไม่สมดุลของสารเคมีในสมองที่เรียกว่า Neurotransmitter หรือสารสื่อนำประสาทในเซลล์ร่างกาย และช็อคโกแลตก็สามารถเข้าไปกระตุ้นเซลล์รับประสาทที่อยู่ในสมองได้ทุกตัวทีเดียว น้ำตาลที่มีอยู่ในช็อคโกแลตจะช่วยเพิ่มสารเคมีในสมองที่ช่วยให้อารมณ์ดีขึ้น นั่นคือเซโรโทนินและเอนดอร์ฟินส์ ช็อคโกแลตยังมีส่วนผสมของสารประกอบที่เรียกว่า Phenylethylamine หรือ PEA ซึ่งจะถูกสร้างขึ้นในสมองของเราในปริมาณค่อนข้างสูงเวลาที่เราตกหลุมรักเป็นครั้งแรก ช็อคโกแลตยังมีคาเฟอีนช่วยเพิ่มพลังงานและสารประกอบอีกเล็กน้อยที่ให้ปฏิกิริยาความสุขคล้ายกับกัญชา แม้แต่กลิ่นของช็อคโกแลตก็ยังอาจมีผลต่อสารเคมีในสมองได้ ยิ่งเราพยายามจะหักห้ามตัวเองจากช็อคโกแลตแค่ไหน ความอยากก็ยิ่งมีมากขึ้นเท่านั้น แต่ถ้าคุณลองเพิ่มช็อคโกแลตชิ้นเล็กๆ เข้าไปในเมนูประจำวัน คุณก็จะไม่รู้สึกโหยกระหาย จนตามใจ (ปาก) ตัวเองอย่างเกินเลยภายหลัง ควรกินช็อคโกแลตหลังอาหารทันที จะช่วยให้คุณอยากกินเพียงชิ้นเล็กๆ เท่านั้น เป็นต้นว่าช็อคโกแลต Hershy’s Kisses สักชิ้นสองชิ้น ให้พลังงานชิ้นละ 25 แคลอรี่ ก็พอที่จะเยียวยาและระงับความอยากของคุณได้แล้ว

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

เมื่ออารมณ์อยู่เหนือความอยาก (กิน) ทำอย่างไร?


เชื่อหรือไม่ว่า บางทีความอยากอาหารของคนเราไม่ได้มาจากความต้องการใช้พลังงานของร่างกาย แต่กลับมาจากอารมณ์ล้วนๆ และนี่คือวิธีรับมืออย่างได้ผล
 -กฎแห่งเลขสอง 
จำให้ขึ้นใจเลยว่า เมื่อใดที่กินบุฟเฟต์ แต่ละครั้งที่ลุกจากโต๊ะ ให้เลือกตักของโปรดเพียงสองชนิดใส่จานเท่านั้น จะช่วยลดปริมาณการกินลงได้มากกว่าปกติ แม้คุณจะเดินหลายรอบก็ตาม
-อย่าอยู่หน้าจอ
คุณสามารถกินข้าวได้ทุกบริเวณหรือทุกห้องในบ้าน ยกเว้นหน้าจอทีวีหรือคอมพิวเตอร์ จะช่วยลดอาหารขบเคี้ยวและของว่างลงไปได้เยอะ
-กักตุนอาหาร
คนที่ชอบเข้าซูเปอร์มาร์เก็ตซื้ออาหารไว้ตุนในตู้เย็น ยิ่งพวกตาลุกวาวยามเห็นป้ายเซลส์ครั้งใด ระวังไว้เถอะ คุณมีโอกาสกินอาหารมากกว่าปกติถึง 48 % โดยเฉพาะขนมกรุบกรอบและอาหารว่างทำจากแป้งทั้งหลายบรรจุซองบิ๊กไซส์ โอกาสอ้วนก็ยิ่งเพิ่มขึ้นเข้าไปอีก
-อย่าปล่อยจานอยู่บนโต๊ะ
อย่าปล่อยจานอาหารคาโต๊ะ เวลาเห็นจะทำให้รู้สึกอยากทั้งๆ ที่ไม่หิว ถ้าจะวางก็ควรเป็นจานผักหรือผลไม้เบาๆ กินแล้วไม่อ้วนแทน
-ร่วมโต๊ะอาหาร
ยิ่งนั่งกินร่วมโต๊ะกับผู้อื่นนานเท่าไร โอกาสที่จะกินเยอะขึ้นก็มากขึ้นเท่านั้น อย่างมื้อค่ำกับเพื่อนสนิท หมายถึงคุณกินเกินจากปกติถึง 35 % หรือถ้ากินเป็นกลุ่มประมาณเจ็ดคน เชื่อมั้ยว่าคุณจะเกินมากกว่าธรรมดาถึง 96 % เลยทีเดียว ดังนั้นถ้าตั้งใจจะลดน้ำหนัก ควรปลีกวิเวกหรือกินร่วมกับกรุ๊ปเล็กๆ และเลือกกินแต่อาหารเบาๆ จานเล็กๆ
-จานแรกและจานต่อมา
สำหรับคนทำกับข้าวเป็น การทำเสร็จและกินอิ่มเสียแต่ในครัวจะช่วยให้คุณกินน้อยลงถึง 14 % แทนการนั่งโต๊ะกินไปเรื่อยๆ ตั้งแต่จานเรียกน้ำย่อยแล้ว ต่อด้วยจานหลัก และของหวานตบท้าย


ชีวิตที่มีสุขภาพดีเริ่มต้นที่การกินอยู่เป็น การกินอยู่เป็นในชีวิตประจำวัน เช่นการกินอาหาร การใช้สอยและบริโภคสิ่งต่างๆ ตลอดถึงเทคโนโลยี่ที่เกี่ยวข้องสัมพันธ์กับชีวิตประจำวันของเรา เราต้องรู้และเข้าใจว่าเรากิน เราใช้เพื่ออะไร คุณค่าแท้และสาระมันอยู่ที่ตรงไหน กินอะไร กินทำใม กินอย่างอย่างไร อยู่เพื่ออะไร อยู่ทำใม แลอยู่อย่างไร เมื่อเราคิดถามและคิดตอบได้อย่างนี้ได้ก็จะเกิดการเรียนรู้ด้วยตนเอง เข้าใจในเป้าหมายชีวิตได้ดีขึ้น พอเรามีการกินอยู่ในชีวิตประจำวันเป็น มันก็คิดเป็นและไม่ตกเป็นทาสของความอยากกิน และอยากอยู่ ทำให้เกิดการอยู่อย่างอยาก กินด้วยความอยาก จะรู้ว่าเรากินเพื่ออยู่ ไม่ได้อยู่เพื่อกิน ทุกวันนี้หลายคนต้องตายเพราะการกิน หรือบางคนนั้นก็กินจนตาย ที่คนเราต้องตายเพราะกินกันมาก ไม่ว่าจะเป็นคนรวยคนจนก็เพราะกินไม่เลือก กินไม่เป็น กินไม่ยั้ง พระพุทธเจ้าท่านสอนให้พิจารณาก่อนกิน ก่อนใช้ เพราะการกินนั้นทำให้โง่ก็ได้ ทำให้ฉลาดก็ได้ ทำให้สุขภาพแข็งแรงก็ได้ และทำให้ตายก็ได้ ดังนั้นจะต้องระมัดระวังเรื่องการกินให้มาก กินให้เป็น จะทำให้เรามีการกินอยู่อย่างพอเพียง พอใจในสิ่งที่ตนมี ยินดีในสิ่งที่ตนได้ ไม่ตะเกียกตะกายดิ้นรนขวนขวายใล่ตามกระแสความทะยานอยากจนเกินไปจนทำให้ลืมสาระการกินอยู่ที่แท้จริงของชีวิต








  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

“กินทุก 3 ชั่วโมง” ลดหุ่นสวยด้วยสูตรใหม่


สูตรลดน้ำหนักด้วยการ “กินทุก 3 ชั่วโมง” ของฆอร์เก้ ครูซ ด้วยการกินอาหารมื้อย่อยทุกๆ สามชั่วโมง เพื่อป้องกันการหิวจนตาลาย ขณะเดียวกันเป็นการช่วยกระตุ้นให้เครื่องจักรในร่างกายโดยเฉพาะเมบาบอลิซึ่มตื่นตัวเผาผลาญพลังงานอยู่เสมอ วิธีการหลักๆ ก็คือ
-ต้องทำอย่างเคร่งครัด กินอาหารที่โปรดปรานได้ในปริมาณที่ลดลงครึ่งหนึ่งจากปกติตามตารางเวลาคือ ตอนเช้า 7.00น. / ของว่างเล็กน้อยตอน 10.00 น. / มื้อกลางวันเริ่ม 13.00 น. / ของว่างครั้งที่สอง 16.00 น. / มื้อเย็นหรือค่ำ 19.00 น.
-หลังมื้อเย็นยังสามารถอร่อยต่อได้อีกประมาณ 50 แคลอรี่
-ต้องหยุดอาหารทุกอย่างในช่วงสามชั่วโมงก่อนเข้านอน
-ออกกำลังกายอย่างเคร่งครัดประมาณอย่างน้อยวันละ 30 นาที
-หลังไดเอ็ตได้สองสัปดาห์ ฮอร์โมนคอร์ติซอลที่ก่อให้เกิดความเครียด ซึ่งมีผลให้น้ำหนักขึ้นนั้น จะลดลงไปพร้อมกับเอวและหน้าท้องที่เพรียวบางเป็นสัดส่วนขึ้น
ที่สำคัญห้ามแอบกินเกินมื้อที่กำหนดไว้ ไม่งั้นพุงไม่ยุบนะคะ

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

สูตรล้างสารพิษออกจากเส้นผมทำเองได้


สารตกค้างจากผลิตภัณฑ์แต่งผม
คือตัวการสำคัญอย่างหนึ่งที่ทำให้เส้นผมดูหม่นหมอง 
ไร้ชีวิตชีวา และขาดประกายเงางาม 

ฉะนั้น ขจัดมันออกไปด้วยการทำดีท็อกซ์ผมสูตร DIY 
ที่คุณสามารถทำเองได้ที่บ้าน

เริ่มจากผสมแอปเปิ้ลไซเดอร์ หรือน้ำส้มสายชูที่ทำจากแอปเปิ้ล ¼ ถ้วย กับน้ำสะอาดประมาณ 5 ลิตร (ถ้าเหลือใช้ก็สามารถเก็บไว้ในตู้เย็น และนำมาล้างเส้นผมทุกๆ สองวันได้) จากนั้นก็ชโลมเส้นผมให้เปียกด้วยน้ำอุ่น หรือจะใช้แชมพูสระแล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาดตามปกติก็ได้ เสร็จแล้วเทส่วนผสมที่เตรียมไว้ลงบนหนังศีรษะและเส้นผมประมาณ 2 ถ้วย ปล่อยให้ส่วนผสมซึมซาบเข้าไปในเส้นผมสักพักประมาณ 15 นาที จากนั้นล้างออกด้วยน้ำเย็นสะอาดๆ อีกที เป็นอันเรียบร้อย

แอปเปิ้ลไซเดอร์ ช่วยทำความสะอาดและกระตุ้นการทำงานภายใต้หนังศีรษะให้รากผมแข็งแรงเป็นประจำจะช่วยคืนชีวิตชีวาและสุขภาพที่ดีให้แก่หนังศีรษะและเส้นผมค่ะ

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

มัสตาร์ด...กับประโยชน์ที่น่าทึ่ง


          เชื่อหรือไม่ว่าสามารถนำมาช่วยแก้ปัญหาในครัวเรือนให้คุณในวันหยุดพักผ่อนอยู่กับบ้านได้

มัสตาร์ดที่เรานิยมใส่ผสมในน้ำสลัดหรือกินกับอาหารจำพวกเนื้อสัตว์อย่างไส้กรอก 

-ทำความสะอาดกระทะ กระทะที่เลอะคราบเหนียวหรือคราบน้ำมันติดอยู่  ทำความสะอาดโดยโรยผงมัสตาร์ด 1-2 ช้อนชาลงไป แล้วใช้แปรงขัดทำความสะอาดให้หมดจด ค่อยล้างน้ำสะอาดอีกครั้ง
-ขจัดกลิ่นอับในขวด กลิ่นเหม็นหืนในขวดแก้วที่คุณต้องการรีไซเคิล ลองใส่ผงมัสตาร์ดเล็กน้อยลงไปในขวด เติมน้ำร้อนแล้วเขย่า กลิ่นที่ติดค้างอยู่ก็จะหมดไป
-กลิ่นติดจาน ถ้าล้างจานแล้วแต่ยังมีกลิ่นติดค้างอยู่ ลองนำผงมัสตาร์ดมาผสมน้ำจนเป็นเนื้อครีมทาลงบนจานแล้วขัดให้ทั่วก่อนล้างออกให้สะอาด
-ยับยั้งวัชพืช หากสวนของคุณถูกวัชพืชคุกคาม วิธีหนึ่งที่จะกำราบวัชพืชเหล่านี้ก็คือปลุกต้นมัสตาร์ดคลุมหน้าดินไว้ส่วนหนึ่ง อย่างไรก็ดี ควรศึกษาวิธีการปลูกก่อนว่าจะหรือไม่ในสภาพอากาศบ้านเรา
-บรรเทาแผลจากการถูกของร้อนลวก อุบัติเหตุจากของร้อนเกิดขึ้นเป็นประจำในครัว ก่อนอื่นรีบเปิดน้ำเย็นไหลผ่านผิวส่วนที่โดนลวก แล้วบีบมัสตาร์ดครีมลงบนแผล จะช่วยบรรเทาอาการปวดแสบปวดร้อนและไม่ทำให้แผลพุพองด้วยค่ะ

เพียงแค่มีมัสตาร์ดแบบครีมหรือแบบผงติดบ้านไว้
เท่านี้
สามารถนำมาช่วยแก้ปัญหาในครัวเรือนให้คุณได้

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

"ผิวสวย" ด้วยกรดตามธรรมชาติ



…น้ำมะนาวมีฤทธิ์เป็นกรดตามธรรมชาติที่มีประโยชน์ในการดูแลผิวไม่น้อยหน้าผลไม้ชนิดอื่น เลยถือโอกาสนำสูตรการดูแลผิวประเภทต่างๆ ด้วยน้ำมะนาวมาฝาก
ผิวแห้งหยาบกร้าน ดีไข่แดงหนึ่งฟองกับมะนาว 2-3 หยดและน้ำมันมะกอกให้เข้ากัน จากนั้นนำมาทาทั่วใบหน้า ทิ้งไว้จนผิวรู้สึกแห้ง ล้างออกด้วยน้ำเปล่า ตามด้วยน้ำเย็นอีกครั้ง
ผิวหมองคล้ำและมัน ผสมน้ำมะนาวครึ่งช้อนชากับน้ำแตงกวาหนึ่งช้อนชา และน้ำกุหลาบ 2-3 หยด ทาทั่วใบหน้าและลำคอ ทิ้งไว้ 15 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำเปล่า
ผิวมันเยิ้ม บีบน้ำมะนาวผสมน้ำเย็นจัดหรือน้ำแข็งยูนิตหนึ่งก้อน ทาชโลมทั่วใบหน้า นวดเบาๆ 5 นาทีแล้วล้างออกด้วยน้ำเปล่า
มีปัญหาผิวแบบไหนลองใช้สูตรนั้น หมั่นทำอาทิตย์ละ 2-3 ครั้ง ผิวหน้าจะกลับมาเปล่งปลั่งสดใส มีน้ำมีนวลอีกครั้งในเร็ววันค่ะ สวยใสง่ายๆ ด้วยกรดธรรมชาติที่สามารถทำได้เองที่บ้านกันนะคะ

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

ลดความอ้วนหุ่นเพรียวสวยได้สัดส่วนด้วยผลไม้สุดพิเศษ

สาว ๆ คนไหนที่ปรารถนาจะมีหุ่นเพรียวสวยได้สัดส่วน ก็มักจะเลือกทานผลไม้เป็นของว่าง 
หรือบางรายก็ทานผลไม้แทนอาหารหลักบางมื้อเลยทีเดียว


                 เพื่อที่ตัวเลขบนเครื่องชั่งน้ำหนักจะได้ลดลงสมใจ ว่า แต่จะเลือกทานผลไม้อะไรดีล่ะ ถึงจะช่วยลดความอ้วนได้แบบสบาย ๆ แถมยังอิ่มท้อง วันนี้ 
เราก็มีผลไม้ 8 ชนิด ที่จะช่วยให้คุณสาว ๆ ลดความอ้วนได้ไม่ยากมาบอกกัน
        แอปเปิ้ล
               ผลไม้สีแดง ๆ เขียว ๆ นี้ สามารถช่วยคุณสาว ๆ ลดความอ้วนได้อย่างสบาย ๆ เลยล่ะ เพราะแอปเปิ้ลได้ชื่อว่าเป็นราชาของผลไม้ลดน้ำหนัก เนื่องจากแอปเปิ้ลมีเส้นใยอาหาร หรือไฟเบอร์มากมาย เมื่อทานเข้าไปแล้ว จะช่วยให้เรารู้สึกอิ่มท้องนาน เพราะน้ำตาลฟรักโทสในแอปเปิ้ลจะเปลี่ยนรูปเป็นพลังงานอย่างช้า ๆ ช่วยให้ร่างกายไม่รู้สึกหิว
         ฝรั่ง
              สุดยอดผลไม้ที่เต็มเปี่ยมไปด้วยวิตามินซีชนิดนี้ ช่วยให้คุณลดความอ้วนได้ไม่ยาก เพราะฝรั่งเป็นผลไม้ที่ให้พลังงานต่ำ แถมยังเคี้ยวเพลินอีกต่างหาก จึงเหมาะกับสาว ๆ ที่อยากกินจุบกินจิบเรื่อย ๆ ซึ่งนอกจากจะช่วยลดความอ้วนได้แล้ว วิตามินซีในฝรั่งยังช่วยสร้างคอลลาเจน ทำให้ผิวพรรณเต่งตึง ไร้ริ้วรอยอีกด้วย
    
    ส้ม
             สาว ๆ หลายคนมักแกะกากส้มออกจนหมด เพื่อให้ทานได้ง่าย ๆ แต่รู้ไหมว่า คุณกำลังทิ้งของดีไปเสียแล้ว เพราะกากใยของส้มนั่นแหละคือสิ่งที่จะช่วยควบคุมน้ำหนักตัวให้สาว ๆ ได้ โดยกากใยจะช่วยทำให้รู้สึกอิ่มท้องเร็ว และช่วยทำให้ระบายท้องได้ดี อย่างไรก็ตาม ส้ม เป็นผลไม้ที่ให้พลังงานค่อนข้างสูง เมื่อเทียบกับผลไม้ลดความอ้วนชนิดอื่น ๆ ดังนั้น ควรรับประทานแต่พอดีแล้วกันนะ
   
      แตงโม
              แตงโมลูกโต ๆ รสหวาน ๆ ไม่ได้ทำให้คุณอ้วนแต่ประการใด เพราะแตงโม 1 ถ้วย ให้พลังงานเพียง 50 แคลอรีเท่านั้น แถมยังให้ไขมันน้อยนิด และยังชุ่มฉ่ำไปด้วยน้ำถึง 93% ของส่วนประกอบทั้งหมด ทำให้เรารู้สึกอิ่มเร็ว เพราะฉะนั้น ไม่ต้องกลัวเลยว่า แตงโม จะทำให้คุณสาว ๆ อ้วนได้ ตรงกันข้าม หากรับประทานแตงโมแทนอาหารมื้อเย็นหนัก ๆ ก็ช่วยลดความอ้วนได้ด้วย แต่ควรทานอย่างพอดี ไม่มากไปนะจ๊ะ ไม่เช่นนั้นท้องไส้จะปั่นป่วนเอาได้ แถมยังต้องเข้าห้องน้ำปัสสาวะบ่อย ๆ ด้วย

        
มะละกอ
            มะละกอ เป็นผลไม้ที่ช่วยขับสารพิษของเสียออกจากร่างกาย แถมยังช่วยกำจัดไขมันต่าง ๆ ภายในร่างกายได้ด้วย โดยมะละกอมีเอนไซน์ปาเปน ที่จะช่วยย่อยโปรตีน และย่อยอาหาร จึงช่วยลดน้ำหนักได้อีกทางด้วย ส่วนใครที่อยากมีผิวพรรณสวย มะละกอ ก็เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่น่าสน เพราะมะละกอมีวิตามินซี และเบตาแคโรทีนสูง จึงช่วยบำรุงผิวพรรณได้
        
แก้วมังกร
           แก้วมังกรเป็นผลไม้ที่ช่วยให้คุณอิ่มท้องได้ง่าย ๆ ไม่แพ้ผลไม้ชนิดอื่น เพราะแก้วมังกรมีกากใยสูงและแคลอรีต่ำ แถมยังมีรสหวานอร่อย หลาย ๆ คน จึงเลือกรับประทานแก้วมังกรเป็นอาหารเย็น หรือทานรวมกับผักสลัดอื่น ๆ เพื่อช่วยลดน้ำหนัก โดยไม่ต้องห่วงว่าจะความหวานจะไปเป็นไขมันสะสมในภายหลัง
       
กีวี
           อีกหนึ่งผลไม้ยอดนิยมของสาว ๆ ที่ปรารถนาจะลดน้ำหนักเลยล่ะ เพราะกีวีเป็นผลไม้ที่มีกากใยมากกว่าแอปเปิ้ลและส้มถึง 25% ทำให้รู้สึกอิ่มเร็วและนาน แถมยังมีวิตามินซี และวิตามินอีสูง ซึ่งจะช่วยให้ผิวพรรณสดใส ช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระ ลดคอเลสเตอรอลในเลือด บำรุงเซลล์เม็ดเลือดแดงให้แข็งแรง และช่วยสลายไขมันในเลือดด้วย ใครที่ชอบทานกีวีจึงได้ประโยชน์จากกีวีแบบหลายเด้งเลย
      เกรปฟรุต 
          สุดยอดผลไม้ไดเอตที่กำลังเป็นที่นิยม เพราะเมื่อไม่นานมานี้ นักวิจัยในสหรัฐอเมริกาพบว่า การกิน "เกรปฟรุต" ครึ่งลูกก่อนมื้ออาหารจะช่วยให้น้ำหนักลดลงได้อย่างเหลือเชื่อ โดยสามารถลดปริมาณแคลอรีได้ถึง 150 แคลอรีต่อวันเชียวนะ แถมเกรปฟรุตครึ่งลูกก็มีแคลอรีเพียงแค่ 39 แคลอรีเท่านั้นเอง

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

Beauty Tips .. เทคนิคการทาลิปให้อวบอิ่ม



 เทคนิคการทาลิปให้อวบอิ่ม




 1. แบ่งริมฝีปากเป็น 4 ส่วน   โดยใช้ ดินสอเขียนขอบปาก หริอ พู่กันทาปากทาบโดยตั้งแนวตั้งฉาก บริเวณกึ่งกลางริมฝีปาก เพื่อให้เห็นความแตกต่างของทั้งสี่ส่วนชัดขึ้น

 2. จากนั้นลองทาบพู่กันแบบทะแยงมุม   จากมุมปากด้านบนของด้านหนึ่งไปสู่มุมปากล่างของอีกด้านหนึ่ง  มีส่วนไหนที่ใหญ่กว่า หรือ เล็กกว่า หรือไม่ ?

 3. ขั้นต่อไป ให้ลงคอนซีลเลอร์รอบขอบริมฝีปาก     จากนั้นเกลี่ยให้สีเบาลงและกลมกลืนกัน และเพื่อให้ติดทนนาน ทั้งยังเพื่อสร้างรูปปากใหม่จึงต้องตบแป้งเบาๆ ลงบนริมฝีปาก

 4. ต่อมาก็ใช้ ดินสอเขียนขอบปากสีที่เข้มกว่าสีลิปสติกนิดหน่อย     วาดรอบขอบริมฝีปากโดยวาดให้อยู่ในบริเวณริมฝีปาก และเกลี่ยให้สีกลืนเข้ากับเรียวปาก  อย่าให้เกินออกจากขอบปากนะคะ  การใช้ดินสอเขียนขอบปากจะช่วยแก้ไขปัญหาเรียวปากที่เล็กหรือใหญ่เกินไปได้ จากนั้นให้ใช้วิธีที่หนึ่งและสองอีกครั้งเพื่อดูว่าเรียวปากได้รูปรึยัง ?

 5.ลงสีลิปสติกสีอ่อนกว่าดินสอเขียนปากที่ลงไว้     เกลี่ยเบาให้สีทั้งสองกลมกลืนกัน จากนั้นให้ใช้กระดาษซับสีออกโดยการเม้มปากเบาๆ บนกระดาษทิชชู่ แล้วตบแป้งเบาๆบนเรียวปาก และทาลิปสติกทับอีกครั้ง เพื่อให้สีติดทนนาน

6. สุดท้ายทาด้วยลิปกลอสส์ทั่วทั้งเรียวปากและอย่าลืม      แต้มที่กลางริมฝีปากเป็นกรณีพิเศษขึ้นอีกนิด  เพื่อให้ปากดูอิ่มฉ่ำยามกระทบกับแสงไฟ  แค่นี้ก็สวยได้ง่ายๆแล้ว





















  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

แต่งปากอย่างไรให้ดูสวยอวบอิ่ม






          เริ่มจาก ใช้ดินสอเขียนปากที่มีสีเข้มตรงมุมปากวาดเส้นขอบปากด้วยคอนซีลเลอร์แบบแท่งดินสอที่มีสีใกล้เคียงกับสีผิวให้มากที่สุด เพราะคอนซีลเลอร์จะทำให้เส้นขอบปากดูสว่างขึ้น และช่วยกั้นไม่ให้ลิปสติกไหลเยิ้มออกมานอกขอบปากด้วย ส่วนตรงมุมปากที่มีสีเข้มกว่านั้นก็จะช่วยดึงความสนในไปที่บริเวณกึ่งกลาง ริมฝีปากแทน ทำให้ใคร ๆ มองเห็นแต่ความอวบอิ่ม ในส่วนที่เป็นสีอ่อน ถ้าหากต้องการให้เรียวปากดูสดใส ควรเลือกทาลิปสติกหรือลิปกลอสในโทนสีสด อย่าง สีชมพู ส้ม หรือแดง



เพียงเท่านี้ .....
คุณก็จะมีเรียวปาก
ที่ดูอวบอิ่มชวนมอง

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

เทคนิคแต่งหน้าอวบให้ดูเรียวเล็ก



          เคล็ดลับที่นำมาฝากกันในวันนี้ เอาใจสาว ๆ หน้าอวบผู้มีพื้นที่บนใบหน้าค่อนข้างเยอะโดยเฉพาะ เพราะนี่เป็นเรื่องที่ทำให้สาว ๆ เสียความมั่นใจในการแต่งหน้าแต่งตัวกันพอสมควรเลยทีเดียว แต่ถ้ารู้จักแต่งหน้าให้เหมาะสมกับรูปหน้าของตัวเอง และเรียนรู้เทคนิคการแต่งหน้าเพื่อพรางให้ใบหน้าดูเล็กลงแล้วล่ะก็ น่าจะเรียกความมั่นใจกลับคืนมาได้นะคะ สาวหน้าอวบอย่างเราก็สวยไม่แพ้ใครเหมือนกัน ไปดูเทคนิคการแต่งหน้าให้ดูเรียวเล็กลงสำหรับสาวหน้าอวบกันเลยดีกว่าค่ะ



    เน้นความโดดเด่นที่ดวงตา

       เพื่อทำให้ใบหน้าของคุณดูเรียวเล็กลง สิ่งที่สาว ๆ จำเป็นต้องทำคือการดึงจุดสนใจจากแก้ม ( ซึ่งมีพื้นที่เยอะ ) ไปยังองค์ประกอบอื่นของใบหน้าแทน ส่วนแรกก็คือดวงตา เน้นการแต่งตาให้ดูโดดเด่นเข้าไว้ ไม่ว่าจะเป็นการแต่งแบบคัดเบ้าตาให้เห็นดวงตาชัดเจน หรือจะแต่งแบบสโมคกี้อายก็ได้ ตามแต่แบบที่ถนัดและเหมาะสมกับโอกาส อีกหนึ่งสิ่งที่ลืมไม่ได้คือการปัดมาสคาร่าให้ขนตาเด้ง ๆ เข้าไว้ด้วยนะคะ

       เน้นความโดดเด่นที่เรียวปาก

          ดึงจุดสนใจจากพื้นที่กว้าง ๆ บนใบหน้ามาไว้มาไว้ที่ริมฝีปาก ด้วยการเลือกใช้ลิปสติกเฉดที่ทำให้ริมฝีปากของคุณดูโดดเด้งขึ้นมา และต้องเป็นเฉดที่เข้ากันได้ดีกับสีผิวของคุณด้วยนะคะ จากนั้นใช้ลิปกลอสสีเดียวกันหรือลิปกลอสแบบใสทาทับ รับรองว่าใคร ๆ ก็ต้องเผลอมองมาที่ริมฝีปากของคุณแน่

     สร้างสัดส่วนที่สมดุลให้พวงแก้ม

          นอกจากสร้างความโดดเด่น เน้นความสนใจไปยังองค์ประกอบอื่นของใบหน้าแล้ว ก็ต้องจัดการกับพวงแก้มซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีสัดส่วนมากที่สุดของใบหน้าด้วย เช่นเดียวกัน คุณสามารถสร้างสัดส่วนที่พรางให้แก้มดูตอบลงได้โดยเทคนิคการใช้บลัช 3 เฉดจากพาเลทเดียวกัน ดังนี้

          1. ใช้เฉดที่เข้มที่สุดปัดที่ใต้โหนกแก้มเบลนด์ให้กลืนกับผิว

          2. ใช้เฉดกลางปัดทับเฉดเข้ม แล้วเบลนด์จนกลายเป็นสีเดียวกัน

          3. ใช้เฉดที่อ่อนที่สุดปัดบาง ๆ ทั่วทั้งโหนกแก้ม แล้วเบลนด์ให้กลมกลืนกันอีกครั้ง เพียงเท่านี้ก็จะได้รูปแก้มที่ตอบลง ทำให้ใบหน้าดูเรียวขึ้นแล้วค่ะ



 
     ได้เรียนรู้เทคนิคการแต่งหน้าให้ดูเรียวเล็กลงแล้ว ลองนำเรื่องการทำผม เพื่อพรางพื้นที่บางส่วนของใบหน้า มาช่วยด้วยอีกนิด รับรองว่า ทีนี้จะต้องมีคนทักว่า 'ไปทำอะไรมา..หน้าดูเล็กลงนะ' 






  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

สร้างความมั่นใจ..ก่อนออกงาน


รู้สึกหนักใจทุกครั้งที่ถูกเชิญไปออกงานเลี้ยง 
หรือต้องกลายเป็นสาวสังคมจำเป็นแต่รู้สึกไม่มั่นใจเอาเสียเลย
ถ้าต้องฉายเดี่ยวออกงาน ลองฝึกสิ่งเหล่านี้ดู เพื่อขจัดอาการอยากหนีกลับบ้านก่อนงานเริ่ม

   
      1. ยิ้มแย้มเข้าไว้เมื่อไม่รู้จักใครเลย เมื่อเดินเข้างานมาคุณควรส่งยิ้มทักทายพนักงานต้อนรับ และเจ้าภาพงานพอเป็นพิธี แต่ไม่ใช่เดนิแจกยิ้มไปทั่วงาน

      2. มองตาคู่สนทนา ในขณะกำลังพูดคุยกัน อย่ากวาดสายตาไปมาขณะคู่สนทนากำลังพูดอยู่ เพราะคู่สนทนาอาจจะคิดว่าคุณกำลังเริ่มเบื่อ และต้องการปลีกตัวแล้วก็ได้

      3. ถ้าเป็นไปได้ ควรพาเพื่อนไปด้วยสักคน เพียงแต่ต้องระวังไว้ว่าคุณต้องไม่คุยกับเพื่อนของคุณเพียงแค่เดียว ควรแยกวงกันไปร่วมสนทนากับคนอื่นบ้าง

      4. ควรฝึกไปร่วมงานเลี้ยงฉลองบ้าง อาจเริ่มจากงานเล็กๆ เช่น งานแต่งงานเพื่อน งานบวชของน้องชายเพื่อน หรือแม้กระทั่งงานเลี้ยงของบริษัท แม้ว่างานเลี้ยงเหล่านี้จะมีคนที่คุณคุ้นเคยอยู่แล้ว แต่ก็ยังทำให้คุณได้ฝึกมารยาทการร่วมวงสนทนากับผู้อื่น ฝึกมารยาทการวางตัวท่ามกลางกลุ่มคน ซึ่งเมื่อคุณรู้สึกมั่นใจในตัวเองระดับหนึ่งแล้ว คุณก็จะไม่กลัวการฉายเดี่ยวออกงานสังคมที่มีแต่คนแปลกหน้า

      5. วางมาดเข้าไว้ วิธีสงบจิตใจไม่ให้ตื่นเต้นกับสถานที่และผู้คนมากจนเกินไป โดยขั้นต้นอาจต้องทำการบ้านสำรวจเรื่องลักษณะงานก่อน เพื่อที่คุณจะได้แต่งตัวมาร่วมงานได้อย่างถูกกาลเทศะ เช่น คุณถูกเชิญไปงานเลี้ยงเล็กๆ แต่คุณแต่งตัวไปแบบจัดเต็ม อาจถูกคนทั้งงานจ้องมองจนอายไม่กล้าเดินไปไหนมาไหนในงาน นอกจากนี้ยังต้องมั่นใจว่าคุณดูดีแล้ว ทั้งในเรื่องของการเดินการลุกนั่ง หรือแม้กระทั่งการหยิบจับสิ่งของ ซึ่งการทำอย่างนี้จะช่วยเสริมภาพลักษณ์ให้คุณน่ามองยิ่งขึ้น

      6. พูดจาชัดเจน ตรงไปตรงมา วิธีที่จะช่วยเสริมภาพลักษณ์ให้ดูน่าเชื่อถือ และดูฉลาด เมื่อมีการสนทนาเกิดขึ้น ควรตั้งใจฟังให้ดีว่าคู่สนทนาของคุณกำลังถามอะไร ก็ควรตอบให้ชัดตรงประเด็นอย่าพูดจาอ้อมค้อม หรือพูดตอบเป็นเรื่องยาวจนฟังเหมือนโอ้อวดตัวเองมากไป


      7. ไม่ยืนหลบตามมุม นี่คือสิ่งที่สำคัญที่สุดในการไปร่วมงานสังคม ซึ่งไม่จำเป็นว่าต้องยืนตรงกลางงานเพื่อให้ดูเด่น แต่ก็ต้องไม่เดินหนีไปหลบตามมุมโน้นที มุมนี้ที เพราะการทำแบบนี้จะทำให้คุณไม่เป็นที่น่าสนใจเลย แถมอีกนัยนึง ทุกคนในงานอาจสงสัยคุณว่า นั่นคือใคร แล้วมาทำอะไรที่นี่

แน่นอน มีบางเวลาและสถานการณ์ที่ไม่เป็นไปอย่างที่คุณต้องการ
และนี่คือเวลาที่คุณจำเป็นต้องใช้ความมั่นใจ 
ดังนั้น จงรับมือด้วยความระมัดระวังและใช้ความมั่นใจใหม่อย่างชาญฉลาด


  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

เทรนใหม่ ผู้ชายก็สคับหน้าได้นะจ๊ะ



 ก่อนอื่นต้องถามกันก่อนเลย รู้หรือไม่ว่าผลิตภัณฑ์สครับผิวหน้านั้นแบ่งออกได้ 2 ประเภทดังนี้


           1. สครับที่ผลิตจากธรรมชาติ โดยเนื้อเมล็ดของสครับนั้นจะทำจากเมล็ดของพืช เช่นWalnut Meal, Corn Meal, Coconut Meal, Apricot Meal และอื่นๆ เมล็ดสครับที่ได้จากธรรมชาตินั้นมักจะมีรูปร่าง และขนาดที่ไม่แน่นอน มีลักษณะค่อนข้างหยาบ เมล็ดสครับให้ประสิทธิภาพในการขัดที่ดี เนื่องจากความแตกต่างทางรูปทรงของเมล็ดสครับ จึงทำให้การขัดเพื่อขจัดสิ่งสกปรกสามารถทำได้อย่างมีประสิทธิภาพ และระคายเคืองต่อผิวน้อยที่สุดด้วย ซึ่งสครับประเภทนี้ใช้ได้ไม่เกิน 3 ครั้งต่อ 1สัปดาห์ และการขัดด้วยสครับไม่ควรจะรุนแรงจนเกินไป
           2. สครับที่ผลิตจากกระบวนการทางเคมี เช่น เม็ดพลาสติก หรือ เม็ดพลาสติกเคลือบ(Micro bead) เม็ดสครับประเภทนี้ จะมีให้เลือกตามแต่ขนาดที่ผู้ผลิตต้องการ มีตั้งแต่หยาบมากไปจนถึงละเอียดมาก ซึ่งคุณภาพของเม็ดสครับก็จะแตกต่างกันออกไปเช่นเดียวกัน บางชนิดอาจจะเป็นแค่เม็ดพลาสติกธรรมดา หรือบางประเภทอาจจะมีการเคลือบหรือชุบสารสกัดธรรมชาติ เช่น Jojoba Bead ส่วนลักษณะของเม็ดสครับ จะมีลักษณะเป็นทรงกลม และขนาดเท่ากัน โดยสครับประเภทนี้มีโอกาสทำให้เกิดการระคายต่อผิวได้มากกว่า สครับที่ผลิตจากธรรมชาติ สครับประเภทไม่ควรใช้เกิน 2ครั้งต่อ 1 สัปดาห์

ข้อควรรู้ในการสครับผิวหน้า
            ระยะเวลาที่เหมาะสม
            การสครับผิวนั้นควรมีความถี่ไม่เกินสัปดาห์ละ 2 ครั้ง หรือตามแต่ประเภทของสครับ เพราะว่าการสครับผิวหน้าจะทำการผลัดเซลล์ผิวเก่าที่ตายไปแล้วออกไป และเผยเซลล์ผิวใหม่ที่ดูสดใส มีชีวิตชีวาออกมา ดังนั้นไม่ควรทำการสครับผิวหน้าทุกวัน เพื่อเป็นเปิดโอกาสให้เซลล์ผิวได้สร้างเซลล์ผิวใหม่ ขึ้นมาทดแทนเซลล์ผิวเก่าที่ถูกขจัดออกไป
            ช่วงเวลาที่เหมาะสมในการสครับ
            ควรสครับผิวหน้าในช่วงเวลา เย็น-กลางคืน เพราะหลังจากเราสครับผิวหน้าเสร็จแล้ว ร่างกายของเราจะได้มีการพักผ่อน เซลล์ผิวจะได้รับการซ่อมแซม และฟื้นตัวจากการสูญเสียน้ำมันเพราะเราสครับผิวหน้าไปนั่นเอง
            ผิวที่เป็นสิว
            ควรงดการสครับ เพราะจะทำให้ผิวหน้าระคายเคืองได้ แต่ถ้ามีผลิตภัณฑ์ที่ดี ก็ยังคงทำได้ ควรเลือกผลิตภัณฑ์ที่มีกรดของ Salicylic Acid ที่ไม่เข้มข้นจนเกินไป (ไม่ควรเกิน 2 เปอร์เซนต์) ซึ่งจากการวิจัยในสถาบันชั้นนำจากต่างประเทศ พบว่าสาร Salicylic Acid สามารถช่วยขจัดความมันส่วนเกิน ขจัดเซลล์ผิวเก่าที่เสื่อมสภาพได้อย่างมี ประสิทธิภาพ และมีส่วนช่วยให้การกระตุ้นกระบวนการผลิตโปรตีนคอลลาเจน รวมไปถึงช่วยการชะลอกระบวนสร้างเม็ดสีผิวได้อีกด้วย
            หลังจากใช้สครับ
            สิ่งที่ขาดไม่ได้เลยคือการเติมความชุ่มชื้นให้แก่ผิว ควรจะมีการบำรุงผิวด้วยครีมบำรุง ที่มีส่วนผสมของมอยส์เจอร์ไรเซอร์ และคอลลาเจน เพื่อให้ผิวคงความชุ่มชื้นเอาไว้ด้วย นอกจากนี้หลังจาการสครับจะทำให้เนื้อครีมบำรุงนั้น สามารถซึมซับเข้าสู่ชั้นผิวหนังได้ดียิ่งขึ้น
            หลีกเลี่ยงแดด
            ควรหลีกเลี่ยงการสครับผิวอย่างน้อย 48 ชม. หากรู้ว่าต้องไปในสถานที่ที่มีแดดจัด เพราะถ้าหากเราทำการสครับผิวแล้ว ผิวจะบาง และไวต่อสิ่งต่างๆ ที่เข้ามากระทบ ยิ่งหากไปเจอกับแดดแรงๆ จะทำให้ผิวเกิดการระคายเคือง เซลผิวใหม่ที่ผลัดขึ้นมาก็จะดูไม่กระจ่างใสเพราะโดนรังสี UV เล่นงานอีกด้วย และในช่วงที่สภาพอากาศแห้ง ผิวจะเกิดการระคายเคืองได้ง่าย ควรเลือกผลิตภัณฑ์สครับผิวหน้าที่มีสูตรอ่อนโยน เม็ดบีดละเอียดไม่หยาบคม

การสครับผิวหน้าเป็นอีกหนึ่งวิธีที่จะช่วยที่จะช่วยทำให้การผลัดเซลล์ผิวทำได้ดีขึ้น ทำให้ผิวขาวกระจ่างใสและมีสุขภาพดีขึ้น

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS