Melody Beauty. ขับเคลื่อนโดย Blogger.

ลดความอ้วนหุ่นเพรียวสวยได้สัดส่วนด้วยผลไม้สุดพิเศษ

สาว ๆ คนไหนที่ปรารถนาจะมีหุ่นเพรียวสวยได้สัดส่วน ก็มักจะเลือกทานผลไม้เป็นของว่าง 
หรือบางรายก็ทานผลไม้แทนอาหารหลักบางมื้อเลยทีเดียว


                 เพื่อที่ตัวเลขบนเครื่องชั่งน้ำหนักจะได้ลดลงสมใจ ว่า แต่จะเลือกทานผลไม้อะไรดีล่ะ ถึงจะช่วยลดความอ้วนได้แบบสบาย ๆ แถมยังอิ่มท้อง วันนี้ 
เราก็มีผลไม้ 8 ชนิด ที่จะช่วยให้คุณสาว ๆ ลดความอ้วนได้ไม่ยากมาบอกกัน
        แอปเปิ้ล
               ผลไม้สีแดง ๆ เขียว ๆ นี้ สามารถช่วยคุณสาว ๆ ลดความอ้วนได้อย่างสบาย ๆ เลยล่ะ เพราะแอปเปิ้ลได้ชื่อว่าเป็นราชาของผลไม้ลดน้ำหนัก เนื่องจากแอปเปิ้ลมีเส้นใยอาหาร หรือไฟเบอร์มากมาย เมื่อทานเข้าไปแล้ว จะช่วยให้เรารู้สึกอิ่มท้องนาน เพราะน้ำตาลฟรักโทสในแอปเปิ้ลจะเปลี่ยนรูปเป็นพลังงานอย่างช้า ๆ ช่วยให้ร่างกายไม่รู้สึกหิว
         ฝรั่ง
              สุดยอดผลไม้ที่เต็มเปี่ยมไปด้วยวิตามินซีชนิดนี้ ช่วยให้คุณลดความอ้วนได้ไม่ยาก เพราะฝรั่งเป็นผลไม้ที่ให้พลังงานต่ำ แถมยังเคี้ยวเพลินอีกต่างหาก จึงเหมาะกับสาว ๆ ที่อยากกินจุบกินจิบเรื่อย ๆ ซึ่งนอกจากจะช่วยลดความอ้วนได้แล้ว วิตามินซีในฝรั่งยังช่วยสร้างคอลลาเจน ทำให้ผิวพรรณเต่งตึง ไร้ริ้วรอยอีกด้วย
    
    ส้ม
             สาว ๆ หลายคนมักแกะกากส้มออกจนหมด เพื่อให้ทานได้ง่าย ๆ แต่รู้ไหมว่า คุณกำลังทิ้งของดีไปเสียแล้ว เพราะกากใยของส้มนั่นแหละคือสิ่งที่จะช่วยควบคุมน้ำหนักตัวให้สาว ๆ ได้ โดยกากใยจะช่วยทำให้รู้สึกอิ่มท้องเร็ว และช่วยทำให้ระบายท้องได้ดี อย่างไรก็ตาม ส้ม เป็นผลไม้ที่ให้พลังงานค่อนข้างสูง เมื่อเทียบกับผลไม้ลดความอ้วนชนิดอื่น ๆ ดังนั้น ควรรับประทานแต่พอดีแล้วกันนะ
   
      แตงโม
              แตงโมลูกโต ๆ รสหวาน ๆ ไม่ได้ทำให้คุณอ้วนแต่ประการใด เพราะแตงโม 1 ถ้วย ให้พลังงานเพียง 50 แคลอรีเท่านั้น แถมยังให้ไขมันน้อยนิด และยังชุ่มฉ่ำไปด้วยน้ำถึง 93% ของส่วนประกอบทั้งหมด ทำให้เรารู้สึกอิ่มเร็ว เพราะฉะนั้น ไม่ต้องกลัวเลยว่า แตงโม จะทำให้คุณสาว ๆ อ้วนได้ ตรงกันข้าม หากรับประทานแตงโมแทนอาหารมื้อเย็นหนัก ๆ ก็ช่วยลดความอ้วนได้ด้วย แต่ควรทานอย่างพอดี ไม่มากไปนะจ๊ะ ไม่เช่นนั้นท้องไส้จะปั่นป่วนเอาได้ แถมยังต้องเข้าห้องน้ำปัสสาวะบ่อย ๆ ด้วย

        
มะละกอ
            มะละกอ เป็นผลไม้ที่ช่วยขับสารพิษของเสียออกจากร่างกาย แถมยังช่วยกำจัดไขมันต่าง ๆ ภายในร่างกายได้ด้วย โดยมะละกอมีเอนไซน์ปาเปน ที่จะช่วยย่อยโปรตีน และย่อยอาหาร จึงช่วยลดน้ำหนักได้อีกทางด้วย ส่วนใครที่อยากมีผิวพรรณสวย มะละกอ ก็เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่น่าสน เพราะมะละกอมีวิตามินซี และเบตาแคโรทีนสูง จึงช่วยบำรุงผิวพรรณได้
        
แก้วมังกร
           แก้วมังกรเป็นผลไม้ที่ช่วยให้คุณอิ่มท้องได้ง่าย ๆ ไม่แพ้ผลไม้ชนิดอื่น เพราะแก้วมังกรมีกากใยสูงและแคลอรีต่ำ แถมยังมีรสหวานอร่อย หลาย ๆ คน จึงเลือกรับประทานแก้วมังกรเป็นอาหารเย็น หรือทานรวมกับผักสลัดอื่น ๆ เพื่อช่วยลดน้ำหนัก โดยไม่ต้องห่วงว่าจะความหวานจะไปเป็นไขมันสะสมในภายหลัง
       
กีวี
           อีกหนึ่งผลไม้ยอดนิยมของสาว ๆ ที่ปรารถนาจะลดน้ำหนักเลยล่ะ เพราะกีวีเป็นผลไม้ที่มีกากใยมากกว่าแอปเปิ้ลและส้มถึง 25% ทำให้รู้สึกอิ่มเร็วและนาน แถมยังมีวิตามินซี และวิตามินอีสูง ซึ่งจะช่วยให้ผิวพรรณสดใส ช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระ ลดคอเลสเตอรอลในเลือด บำรุงเซลล์เม็ดเลือดแดงให้แข็งแรง และช่วยสลายไขมันในเลือดด้วย ใครที่ชอบทานกีวีจึงได้ประโยชน์จากกีวีแบบหลายเด้งเลย
      เกรปฟรุต 
          สุดยอดผลไม้ไดเอตที่กำลังเป็นที่นิยม เพราะเมื่อไม่นานมานี้ นักวิจัยในสหรัฐอเมริกาพบว่า การกิน "เกรปฟรุต" ครึ่งลูกก่อนมื้ออาหารจะช่วยให้น้ำหนักลดลงได้อย่างเหลือเชื่อ โดยสามารถลดปริมาณแคลอรีได้ถึง 150 แคลอรีต่อวันเชียวนะ แถมเกรปฟรุตครึ่งลูกก็มีแคลอรีเพียงแค่ 39 แคลอรีเท่านั้นเอง

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

Beauty Tips .. เทคนิคการทาลิปให้อวบอิ่ม



 เทคนิคการทาลิปให้อวบอิ่ม




 1. แบ่งริมฝีปากเป็น 4 ส่วน   โดยใช้ ดินสอเขียนขอบปาก หริอ พู่กันทาปากทาบโดยตั้งแนวตั้งฉาก บริเวณกึ่งกลางริมฝีปาก เพื่อให้เห็นความแตกต่างของทั้งสี่ส่วนชัดขึ้น

 2. จากนั้นลองทาบพู่กันแบบทะแยงมุม   จากมุมปากด้านบนของด้านหนึ่งไปสู่มุมปากล่างของอีกด้านหนึ่ง  มีส่วนไหนที่ใหญ่กว่า หรือ เล็กกว่า หรือไม่ ?

 3. ขั้นต่อไป ให้ลงคอนซีลเลอร์รอบขอบริมฝีปาก     จากนั้นเกลี่ยให้สีเบาลงและกลมกลืนกัน และเพื่อให้ติดทนนาน ทั้งยังเพื่อสร้างรูปปากใหม่จึงต้องตบแป้งเบาๆ ลงบนริมฝีปาก

 4. ต่อมาก็ใช้ ดินสอเขียนขอบปากสีที่เข้มกว่าสีลิปสติกนิดหน่อย     วาดรอบขอบริมฝีปากโดยวาดให้อยู่ในบริเวณริมฝีปาก และเกลี่ยให้สีกลืนเข้ากับเรียวปาก  อย่าให้เกินออกจากขอบปากนะคะ  การใช้ดินสอเขียนขอบปากจะช่วยแก้ไขปัญหาเรียวปากที่เล็กหรือใหญ่เกินไปได้ จากนั้นให้ใช้วิธีที่หนึ่งและสองอีกครั้งเพื่อดูว่าเรียวปากได้รูปรึยัง ?

 5.ลงสีลิปสติกสีอ่อนกว่าดินสอเขียนปากที่ลงไว้     เกลี่ยเบาให้สีทั้งสองกลมกลืนกัน จากนั้นให้ใช้กระดาษซับสีออกโดยการเม้มปากเบาๆ บนกระดาษทิชชู่ แล้วตบแป้งเบาๆบนเรียวปาก และทาลิปสติกทับอีกครั้ง เพื่อให้สีติดทนนาน

6. สุดท้ายทาด้วยลิปกลอสส์ทั่วทั้งเรียวปากและอย่าลืม      แต้มที่กลางริมฝีปากเป็นกรณีพิเศษขึ้นอีกนิด  เพื่อให้ปากดูอิ่มฉ่ำยามกระทบกับแสงไฟ  แค่นี้ก็สวยได้ง่ายๆแล้ว





















  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

แต่งปากอย่างไรให้ดูสวยอวบอิ่ม






          เริ่มจาก ใช้ดินสอเขียนปากที่มีสีเข้มตรงมุมปากวาดเส้นขอบปากด้วยคอนซีลเลอร์แบบแท่งดินสอที่มีสีใกล้เคียงกับสีผิวให้มากที่สุด เพราะคอนซีลเลอร์จะทำให้เส้นขอบปากดูสว่างขึ้น และช่วยกั้นไม่ให้ลิปสติกไหลเยิ้มออกมานอกขอบปากด้วย ส่วนตรงมุมปากที่มีสีเข้มกว่านั้นก็จะช่วยดึงความสนในไปที่บริเวณกึ่งกลาง ริมฝีปากแทน ทำให้ใคร ๆ มองเห็นแต่ความอวบอิ่ม ในส่วนที่เป็นสีอ่อน ถ้าหากต้องการให้เรียวปากดูสดใส ควรเลือกทาลิปสติกหรือลิปกลอสในโทนสีสด อย่าง สีชมพู ส้ม หรือแดง



เพียงเท่านี้ .....
คุณก็จะมีเรียวปาก
ที่ดูอวบอิ่มชวนมอง

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

เทคนิคแต่งหน้าอวบให้ดูเรียวเล็ก



          เคล็ดลับที่นำมาฝากกันในวันนี้ เอาใจสาว ๆ หน้าอวบผู้มีพื้นที่บนใบหน้าค่อนข้างเยอะโดยเฉพาะ เพราะนี่เป็นเรื่องที่ทำให้สาว ๆ เสียความมั่นใจในการแต่งหน้าแต่งตัวกันพอสมควรเลยทีเดียว แต่ถ้ารู้จักแต่งหน้าให้เหมาะสมกับรูปหน้าของตัวเอง และเรียนรู้เทคนิคการแต่งหน้าเพื่อพรางให้ใบหน้าดูเล็กลงแล้วล่ะก็ น่าจะเรียกความมั่นใจกลับคืนมาได้นะคะ สาวหน้าอวบอย่างเราก็สวยไม่แพ้ใครเหมือนกัน ไปดูเทคนิคการแต่งหน้าให้ดูเรียวเล็กลงสำหรับสาวหน้าอวบกันเลยดีกว่าค่ะ



    เน้นความโดดเด่นที่ดวงตา

       เพื่อทำให้ใบหน้าของคุณดูเรียวเล็กลง สิ่งที่สาว ๆ จำเป็นต้องทำคือการดึงจุดสนใจจากแก้ม ( ซึ่งมีพื้นที่เยอะ ) ไปยังองค์ประกอบอื่นของใบหน้าแทน ส่วนแรกก็คือดวงตา เน้นการแต่งตาให้ดูโดดเด่นเข้าไว้ ไม่ว่าจะเป็นการแต่งแบบคัดเบ้าตาให้เห็นดวงตาชัดเจน หรือจะแต่งแบบสโมคกี้อายก็ได้ ตามแต่แบบที่ถนัดและเหมาะสมกับโอกาส อีกหนึ่งสิ่งที่ลืมไม่ได้คือการปัดมาสคาร่าให้ขนตาเด้ง ๆ เข้าไว้ด้วยนะคะ

       เน้นความโดดเด่นที่เรียวปาก

          ดึงจุดสนใจจากพื้นที่กว้าง ๆ บนใบหน้ามาไว้มาไว้ที่ริมฝีปาก ด้วยการเลือกใช้ลิปสติกเฉดที่ทำให้ริมฝีปากของคุณดูโดดเด้งขึ้นมา และต้องเป็นเฉดที่เข้ากันได้ดีกับสีผิวของคุณด้วยนะคะ จากนั้นใช้ลิปกลอสสีเดียวกันหรือลิปกลอสแบบใสทาทับ รับรองว่าใคร ๆ ก็ต้องเผลอมองมาที่ริมฝีปากของคุณแน่

     สร้างสัดส่วนที่สมดุลให้พวงแก้ม

          นอกจากสร้างความโดดเด่น เน้นความสนใจไปยังองค์ประกอบอื่นของใบหน้าแล้ว ก็ต้องจัดการกับพวงแก้มซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีสัดส่วนมากที่สุดของใบหน้าด้วย เช่นเดียวกัน คุณสามารถสร้างสัดส่วนที่พรางให้แก้มดูตอบลงได้โดยเทคนิคการใช้บลัช 3 เฉดจากพาเลทเดียวกัน ดังนี้

          1. ใช้เฉดที่เข้มที่สุดปัดที่ใต้โหนกแก้มเบลนด์ให้กลืนกับผิว

          2. ใช้เฉดกลางปัดทับเฉดเข้ม แล้วเบลนด์จนกลายเป็นสีเดียวกัน

          3. ใช้เฉดที่อ่อนที่สุดปัดบาง ๆ ทั่วทั้งโหนกแก้ม แล้วเบลนด์ให้กลมกลืนกันอีกครั้ง เพียงเท่านี้ก็จะได้รูปแก้มที่ตอบลง ทำให้ใบหน้าดูเรียวขึ้นแล้วค่ะ



 
     ได้เรียนรู้เทคนิคการแต่งหน้าให้ดูเรียวเล็กลงแล้ว ลองนำเรื่องการทำผม เพื่อพรางพื้นที่บางส่วนของใบหน้า มาช่วยด้วยอีกนิด รับรองว่า ทีนี้จะต้องมีคนทักว่า 'ไปทำอะไรมา..หน้าดูเล็กลงนะ' 






  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

สร้างความมั่นใจ..ก่อนออกงาน


รู้สึกหนักใจทุกครั้งที่ถูกเชิญไปออกงานเลี้ยง 
หรือต้องกลายเป็นสาวสังคมจำเป็นแต่รู้สึกไม่มั่นใจเอาเสียเลย
ถ้าต้องฉายเดี่ยวออกงาน ลองฝึกสิ่งเหล่านี้ดู เพื่อขจัดอาการอยากหนีกลับบ้านก่อนงานเริ่ม

   
      1. ยิ้มแย้มเข้าไว้เมื่อไม่รู้จักใครเลย เมื่อเดินเข้างานมาคุณควรส่งยิ้มทักทายพนักงานต้อนรับ และเจ้าภาพงานพอเป็นพิธี แต่ไม่ใช่เดนิแจกยิ้มไปทั่วงาน

      2. มองตาคู่สนทนา ในขณะกำลังพูดคุยกัน อย่ากวาดสายตาไปมาขณะคู่สนทนากำลังพูดอยู่ เพราะคู่สนทนาอาจจะคิดว่าคุณกำลังเริ่มเบื่อ และต้องการปลีกตัวแล้วก็ได้

      3. ถ้าเป็นไปได้ ควรพาเพื่อนไปด้วยสักคน เพียงแต่ต้องระวังไว้ว่าคุณต้องไม่คุยกับเพื่อนของคุณเพียงแค่เดียว ควรแยกวงกันไปร่วมสนทนากับคนอื่นบ้าง

      4. ควรฝึกไปร่วมงานเลี้ยงฉลองบ้าง อาจเริ่มจากงานเล็กๆ เช่น งานแต่งงานเพื่อน งานบวชของน้องชายเพื่อน หรือแม้กระทั่งงานเลี้ยงของบริษัท แม้ว่างานเลี้ยงเหล่านี้จะมีคนที่คุณคุ้นเคยอยู่แล้ว แต่ก็ยังทำให้คุณได้ฝึกมารยาทการร่วมวงสนทนากับผู้อื่น ฝึกมารยาทการวางตัวท่ามกลางกลุ่มคน ซึ่งเมื่อคุณรู้สึกมั่นใจในตัวเองระดับหนึ่งแล้ว คุณก็จะไม่กลัวการฉายเดี่ยวออกงานสังคมที่มีแต่คนแปลกหน้า

      5. วางมาดเข้าไว้ วิธีสงบจิตใจไม่ให้ตื่นเต้นกับสถานที่และผู้คนมากจนเกินไป โดยขั้นต้นอาจต้องทำการบ้านสำรวจเรื่องลักษณะงานก่อน เพื่อที่คุณจะได้แต่งตัวมาร่วมงานได้อย่างถูกกาลเทศะ เช่น คุณถูกเชิญไปงานเลี้ยงเล็กๆ แต่คุณแต่งตัวไปแบบจัดเต็ม อาจถูกคนทั้งงานจ้องมองจนอายไม่กล้าเดินไปไหนมาไหนในงาน นอกจากนี้ยังต้องมั่นใจว่าคุณดูดีแล้ว ทั้งในเรื่องของการเดินการลุกนั่ง หรือแม้กระทั่งการหยิบจับสิ่งของ ซึ่งการทำอย่างนี้จะช่วยเสริมภาพลักษณ์ให้คุณน่ามองยิ่งขึ้น

      6. พูดจาชัดเจน ตรงไปตรงมา วิธีที่จะช่วยเสริมภาพลักษณ์ให้ดูน่าเชื่อถือ และดูฉลาด เมื่อมีการสนทนาเกิดขึ้น ควรตั้งใจฟังให้ดีว่าคู่สนทนาของคุณกำลังถามอะไร ก็ควรตอบให้ชัดตรงประเด็นอย่าพูดจาอ้อมค้อม หรือพูดตอบเป็นเรื่องยาวจนฟังเหมือนโอ้อวดตัวเองมากไป


      7. ไม่ยืนหลบตามมุม นี่คือสิ่งที่สำคัญที่สุดในการไปร่วมงานสังคม ซึ่งไม่จำเป็นว่าต้องยืนตรงกลางงานเพื่อให้ดูเด่น แต่ก็ต้องไม่เดินหนีไปหลบตามมุมโน้นที มุมนี้ที เพราะการทำแบบนี้จะทำให้คุณไม่เป็นที่น่าสนใจเลย แถมอีกนัยนึง ทุกคนในงานอาจสงสัยคุณว่า นั่นคือใคร แล้วมาทำอะไรที่นี่

แน่นอน มีบางเวลาและสถานการณ์ที่ไม่เป็นไปอย่างที่คุณต้องการ
และนี่คือเวลาที่คุณจำเป็นต้องใช้ความมั่นใจ 
ดังนั้น จงรับมือด้วยความระมัดระวังและใช้ความมั่นใจใหม่อย่างชาญฉลาด


  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

เทรนใหม่ ผู้ชายก็สคับหน้าได้นะจ๊ะ



 ก่อนอื่นต้องถามกันก่อนเลย รู้หรือไม่ว่าผลิตภัณฑ์สครับผิวหน้านั้นแบ่งออกได้ 2 ประเภทดังนี้


           1. สครับที่ผลิตจากธรรมชาติ โดยเนื้อเมล็ดของสครับนั้นจะทำจากเมล็ดของพืช เช่นWalnut Meal, Corn Meal, Coconut Meal, Apricot Meal และอื่นๆ เมล็ดสครับที่ได้จากธรรมชาตินั้นมักจะมีรูปร่าง และขนาดที่ไม่แน่นอน มีลักษณะค่อนข้างหยาบ เมล็ดสครับให้ประสิทธิภาพในการขัดที่ดี เนื่องจากความแตกต่างทางรูปทรงของเมล็ดสครับ จึงทำให้การขัดเพื่อขจัดสิ่งสกปรกสามารถทำได้อย่างมีประสิทธิภาพ และระคายเคืองต่อผิวน้อยที่สุดด้วย ซึ่งสครับประเภทนี้ใช้ได้ไม่เกิน 3 ครั้งต่อ 1สัปดาห์ และการขัดด้วยสครับไม่ควรจะรุนแรงจนเกินไป
           2. สครับที่ผลิตจากกระบวนการทางเคมี เช่น เม็ดพลาสติก หรือ เม็ดพลาสติกเคลือบ(Micro bead) เม็ดสครับประเภทนี้ จะมีให้เลือกตามแต่ขนาดที่ผู้ผลิตต้องการ มีตั้งแต่หยาบมากไปจนถึงละเอียดมาก ซึ่งคุณภาพของเม็ดสครับก็จะแตกต่างกันออกไปเช่นเดียวกัน บางชนิดอาจจะเป็นแค่เม็ดพลาสติกธรรมดา หรือบางประเภทอาจจะมีการเคลือบหรือชุบสารสกัดธรรมชาติ เช่น Jojoba Bead ส่วนลักษณะของเม็ดสครับ จะมีลักษณะเป็นทรงกลม และขนาดเท่ากัน โดยสครับประเภทนี้มีโอกาสทำให้เกิดการระคายต่อผิวได้มากกว่า สครับที่ผลิตจากธรรมชาติ สครับประเภทไม่ควรใช้เกิน 2ครั้งต่อ 1 สัปดาห์

ข้อควรรู้ในการสครับผิวหน้า
            ระยะเวลาที่เหมาะสม
            การสครับผิวนั้นควรมีความถี่ไม่เกินสัปดาห์ละ 2 ครั้ง หรือตามแต่ประเภทของสครับ เพราะว่าการสครับผิวหน้าจะทำการผลัดเซลล์ผิวเก่าที่ตายไปแล้วออกไป และเผยเซลล์ผิวใหม่ที่ดูสดใส มีชีวิตชีวาออกมา ดังนั้นไม่ควรทำการสครับผิวหน้าทุกวัน เพื่อเป็นเปิดโอกาสให้เซลล์ผิวได้สร้างเซลล์ผิวใหม่ ขึ้นมาทดแทนเซลล์ผิวเก่าที่ถูกขจัดออกไป
            ช่วงเวลาที่เหมาะสมในการสครับ
            ควรสครับผิวหน้าในช่วงเวลา เย็น-กลางคืน เพราะหลังจากเราสครับผิวหน้าเสร็จแล้ว ร่างกายของเราจะได้มีการพักผ่อน เซลล์ผิวจะได้รับการซ่อมแซม และฟื้นตัวจากการสูญเสียน้ำมันเพราะเราสครับผิวหน้าไปนั่นเอง
            ผิวที่เป็นสิว
            ควรงดการสครับ เพราะจะทำให้ผิวหน้าระคายเคืองได้ แต่ถ้ามีผลิตภัณฑ์ที่ดี ก็ยังคงทำได้ ควรเลือกผลิตภัณฑ์ที่มีกรดของ Salicylic Acid ที่ไม่เข้มข้นจนเกินไป (ไม่ควรเกิน 2 เปอร์เซนต์) ซึ่งจากการวิจัยในสถาบันชั้นนำจากต่างประเทศ พบว่าสาร Salicylic Acid สามารถช่วยขจัดความมันส่วนเกิน ขจัดเซลล์ผิวเก่าที่เสื่อมสภาพได้อย่างมี ประสิทธิภาพ และมีส่วนช่วยให้การกระตุ้นกระบวนการผลิตโปรตีนคอลลาเจน รวมไปถึงช่วยการชะลอกระบวนสร้างเม็ดสีผิวได้อีกด้วย
            หลังจากใช้สครับ
            สิ่งที่ขาดไม่ได้เลยคือการเติมความชุ่มชื้นให้แก่ผิว ควรจะมีการบำรุงผิวด้วยครีมบำรุง ที่มีส่วนผสมของมอยส์เจอร์ไรเซอร์ และคอลลาเจน เพื่อให้ผิวคงความชุ่มชื้นเอาไว้ด้วย นอกจากนี้หลังจาการสครับจะทำให้เนื้อครีมบำรุงนั้น สามารถซึมซับเข้าสู่ชั้นผิวหนังได้ดียิ่งขึ้น
            หลีกเลี่ยงแดด
            ควรหลีกเลี่ยงการสครับผิวอย่างน้อย 48 ชม. หากรู้ว่าต้องไปในสถานที่ที่มีแดดจัด เพราะถ้าหากเราทำการสครับผิวแล้ว ผิวจะบาง และไวต่อสิ่งต่างๆ ที่เข้ามากระทบ ยิ่งหากไปเจอกับแดดแรงๆ จะทำให้ผิวเกิดการระคายเคือง เซลผิวใหม่ที่ผลัดขึ้นมาก็จะดูไม่กระจ่างใสเพราะโดนรังสี UV เล่นงานอีกด้วย และในช่วงที่สภาพอากาศแห้ง ผิวจะเกิดการระคายเคืองได้ง่าย ควรเลือกผลิตภัณฑ์สครับผิวหน้าที่มีสูตรอ่อนโยน เม็ดบีดละเอียดไม่หยาบคม

การสครับผิวหน้าเป็นอีกหนึ่งวิธีที่จะช่วยที่จะช่วยทำให้การผลัดเซลล์ผิวทำได้ดีขึ้น ทำให้ผิวขาวกระจ่างใสและมีสุขภาพดีขึ้น

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

บอกสุขภาพได้ด้วย "เล็บ"


อยากรู้ว่าเป็นโรคอะไร สังเกตดูจากเล็บกันได้
เชื่อหรือไม่ว่า เล็บก็สามารถบอกโรคได้ 
วันนี้มีเรื่องนี้มาบอก

โดยทั่วไป"เล็บ"เป็นส่วนที่งอกออกมาจากผิวหนัง เป็นเซลล์ที่ตายแล้ว มีส่วนประกอบหลักเป็นสารประเภทโปรตีน เคราติน (Keratin) เล็บที่ปกตินั้น จะมีสีชมพูอ่อนๆ เสมอกัน เนื้อเล็บแข็ง เรียบ ลื่น แต่บางครั้ง เล็บอาจมีรูปร่างหรือสีผิดปกติได้ซึ่งอาจเกิดจากความผิดปกติ หรือโรคภัยบางอย่างที่เกิดขึ้นในร่างกาย ดังนี้

เล็บขาวซีด อ่อน แบน และบุ๋ม : มักพบในคนที่เป็นโรคโลหิตจางซึ่งอาจมาจากการขาดธาตุเหล็ก
เล็บขาวเป็นแผ่นตรงกลาง : เป็นความผิดปกติที่พบในโรคตับ
เล็บเป็นหลุม ขรุขระ ไม่เรียบเกลี้ยงเกลา : พบในโรคผิวหนังที่เรียกว่าสะเก็ดเงิน หรือเรื้อนกวาง
เล็บหนากว้าง และโค้งมนตามลักษณะของปลายนิ้วที่โตขึ้นและมีสีออกม่วงคล้ำ : พบในผู้ป่วยโรคหัวใจ (ลิ้นหัวใจรั่ว) โรคตับ และโรคท้องเสียเรื้อรัง
เล็บเป็นดอกหรือจุดขาวๆ หรือเป็นเสี้ยวพระจันทร์ : แสดงว่ามีปัญหาสุขภาพเจ็บป่วยหนัก หรือขาดสารอาหารบางอย่างที่ทำให้เซลสร้างเล็บได้ไม่สมบูรณ์
เล็บเหลือง : ถ้าเป็นบางเล็บบนนิ้วที่ถนัด อาจเป็นสารนิโคตินจากบุหรี่ที่มาเกาะเล็บที่ใช้คีบบุหรี่ หรือพบในโรคปอดบางชนิด โรคเบาหวาน โรคตับ โรคไต
เล็บเปลี่ยนสีเป็นครึ่งขาวครึ่งชมพู : พบในโรคไตบางชนิด
เล็บเป็นจุดหรือเส้นสีม่วง เกิดจากเส้นเลือดฝอยแตก : พบในโรคลิ้นหัวใจอักเสบ โรคลิ้นหัวใจตีบ โรคหลอดเลือดอักเสบ โรคตับ โรคขาดวิตามินซี
เล็บสีดำ : พบในโรคลำไส้ผิดปกติ มีจุดดำๆ ตามเนื้อเยื่อของลำไส้เยื่อบุปาก ริมฝีปาก ส่วนมากขาดวิตามินบี 12
เล็บที่ออกสีเทาๆ หรือดำคล้ำ: พบในคนที่ได้รับตัวยาบางชนิดเช่น Phenolphthalein ในยาระบาย และยารักษาโรคมาลาเรีย


เล็บเขียวช้ำ  : ถ้าอยู่ๆ เล็บดูเขียวช้ำโดยไม่ได้โดนอะไรกระแทก ก็ควรรีบไปหาหมอด่วน นี่เป็นสัญญาณที่บ่งชี้ว่าคุณได้รับออกซิเจนไม่เพียงพอค่ะ

ครั้งต่อไปหลังจากที่คุณล้างสียาทาเล็บออกแล้ว อย่าลืมสังเกตสภาพเล็บด้วยล่ะ เพราะลักษณะเล็บบางอย่างสามารถบ่งบอกได้ว่าคุณกำลังมีปัญหาสุขภาพอะไรบ้าง

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

อาหารที่ช่วยบำรุงสายตา



อาหารที่ช่วยบำรุงสายตา

1.วิตามินเอ รวมถึงแคโรทีนอยด์
วิตามินเอมีความสำคัญเกี่ยวกับการมองเห็นในที่แสงสลัวและความแข็งแรงของ เยื่อบุต่างๆ การขาดวิตามินเอทำให้การปรับตาในที่มืดช้าลง ซึ่งสามารถสังเกตได้ เช่น เวลาเข้าไปในห้องที่มืด หรือเข้าไปในโรงภาพยนตร์ คนที่ขาดวิตามินเอต้องใช้เวลานานกว่าคนอื่นกว่าจะปรับสายตาให้มองเห็นทางเดิน ได้ สำหรับคนที่ขับรถยนต์ในเวลากลางคืน การปรับสายตาในที่มืดได้ช้านี้จะเพิ่ม ความเสี่ยงต่ออุบัติเหตุ เนื่องจากเมื่อมีรถยนต์สวนทางมา แสงสว่างจากรถที่สวนมาจะทำให้ตาพร่างและมองทางข้างหน้าไม่ชัด
การเสื่อมของตาเนื่องจากสูงอายุ (age – related macular degeneration) พบว่าถ้ามีแคโรทีนอยด์ 2 ชนิดคือ ลูทีน และซีแซนทินน้อยจะมีความเสี่ยงในการเป็นโรคนี้ ลูทีน และซีแซนทิน เป็นแคโรทีนอยด์ที่พบในพืชผักมีส่วนเกี่ยวข้องกับตา โดยจะพบสารทั้ง 2 ชนิดนี้ที่บริเวณกระจกตาและในเลนส์ตา และมีส่วนป้องกันการเสื่อมของตาและโรคต้อกระจกในคนสูงอายุ จากการศึกษาพบว่าการเพิ่มการรับประทานอาหารที่มีลูทีน และซีแซนทินในผู้สูงอายุที่มีระดับสารทั้ง 2 ชนิดต่ำจะลดโอกาสเสี่ยงของโรคตาเสื่อม และโรคต้อกระจกในคนสูงอายุ

อาหารแนะนำ ตับหมู ตับไก่ ไข่ น้ำนม ผักผลไม้ที่มีสีเขียวเข้ม และสีเหลืองส้ม เช่น ผักบุ้ง ผักตำลึง ฟักทอง มะละกอสุก แครอท เป็นต้น
การทานวิตามินเอชนิดเม็ด จะไม่ได้แคโรทีนอยด์

2.สังกะสี
การขาดสังกะสีทำให้การปรับตาในที่มืดช้าลงได้เช่นกัน เนื่องจากสังกะสีมีส่วนเกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนวิตามินเอให้อยู่ในรูปแบบที่ จะทำงานได้ที่ตา

อาหารแนะนำ หอยนางรม เนื้อ ตับ ไข่ นม ไก่ และปลา เนื้อสัตว์ที่มีไขมันมากจะมีสังกะสีน้อย ธัญญาหารก็เป็นแหล่งสังกะสีเช่นกัน ปริมาณสังกะสีในธัญญาหารขึ้นกับการขัดสี สังกะสีจะมีมากบริเวณเปลือกนอกของเมล็ด ดังนั้นเมล็ดพืชที่ผ่านการขัดสีน้อย เช่น ข้าวซ้อมมือจะมีสังกะสีมากกว่าข้าวที่ขัดสีจนขาว

3.วิตามินซี
มีสารต้านอนุมูลอิสระช่วยลดความเสื่อมของร่างกายในทุกส่วนรวมทั้งสายตาด้วย

อาหารแนะนำ
ฝรั่ง มีวิตามินซี 230 มิลลิกรัม/ 100 กรัม
ส้ม มีวิตามินซี 69.7 มิลลิกรัม / 1 ผล
บรอกโคลี มีวิตามินซี 84 มิลลิกรัม / 100 กรัม
พริกหวาน มีวิตามินซี 100-120 มิลลิกรัม / 1 เม็ด
ผักโขม มีวิตามินซี 76.5 มิลลิกรัม / 100 กรัม
สตรอว์เบอร์รี่ มีวิตามินซี 77 มิลลิกรัม / 100 กรัม
มะละกอ มีวิตามินซี 60 มิลลิกรัม / 100 กรัม
กะหล่ำดอก มีวิตามินซี 49 มิลลิกรัม / 100 กรัม
กะหล่ำปลี มีวิตามินซี 49 มิลลิกรัม/ 100 กรัม
น้ำมะนาว มีวิตามินซี 34 มิลลิกรัม / 100 กรัม


จักษุแพทย์ของศูนย์แพทย์โรคตาในสหรัฐฯ 
ได้ระบุว่า "มะม่วง" เป็นผลไม้ที่ช่วยบำรุงรักษาสายตาได้อย่างดี
ยิ่งเสียกว่าหัวผักกาดแดง เพราะมะม่วงอุดมไปด้วยวิตามิน C , E และ Beta-Caroteneอันเป็นตัวต้านอนุมูลอิสระทั้งสิ้น 



  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

" ผลไม้ "..บำรุงสายตา



Working Women ทั้งหลายที่ต้องเผชิญกับหน้าจอ Computerไม่ต่ำกว่า 8 ชั่วโมง
ต่อวัน จนทำให้เกิดความล้าของดวงตา

                ต้นตอของปัญหาด้านสายตา ทั้งตาแข็ง ตาแห้ง หรือตาอักเสบ นอกจากจะทำงานหนักแล้ว ที่สาวสวยและเก่งอย่างเราจึงต้องดูแลดวงตาดูสดใสเปล่งประกายอยู่เสมอด้วยผลไม้  สีเหลือง สีส้ม สีแดง และสีเขียวเข้ม เต็มเปี่ยมด้วยวิตามินเอ เช่น มะม่วงสุก มะละกอสุก แคนตาลูบ และแตงโม มีสรรพคุณเรื่องการมองเห็นในที่มีแสงสลัว และเสริมสร้างความแข็งแรงให้กับเยื่อบุในดวงตา นอกจากนี้ผลไม้ที่มีวิตามินซี เช่น ฝรั่ง สับปะรด ส้ม มะละกอ หรือผลไม้ตระกูลเบอร์รี่อย่าง บลูเบอร์รี่ สตรอว์เบอร์รี ราสเบอร์รี จะมีสารต้านอนุมูลอิสระและช่วยซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอของร่างกายรวมถึงดวงตาได้อีกด้วย  หากรู้อย่างนี้แล้ว  อย่ามัวแต่ห่วงสวย ดูแลเฉพาะรูปร่างภายนอกเพียงอย่างเดียวควรสนใจ ดวงตาคู่สำคัญให้ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพตลอดไป รวมทั้งยังเป็นหน้าต่างของหัวใจอีกด้วยค่ะ


  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

สครับหน้าอย่างไร ให้ถูกวิธี ?!?



หากอยากมีผิวหน้าที่ดูกระจ่างใส สะอาดปราศจากสิ่งอุดตันรูขุมขน การสครับผิวสามารถช่วยคุณได้เป็นอย่างดี และเชื่อว่าสาว ๆ ทุกคนย่อมรู้ดีอยู่แล้วว่าการสครับผิวนั้นสามารถทำเองได้ที่บ้าน แต่หลาย ๆ คนก็ยังคิดว่าหากต้องการสครับให้ได้ผลดีจริง ๆ ก็ต้องไปทำที่สปา หรือทำตามคลีนิกผิวหนังเท่านั้น แต่ความจริงแล้ว แม้แต่การสครับผิวหน้าด้วยตัวเองก็สามารถทำให้เห็นผลได้ดีเช่นกัน เพียงแต่ทำอย่างสม่ำเสมอและรู้เคล็ดลับเล็ก ๆ น้อย ๆ ดังต่อไปนี้ค่ะ

ใช้ถุงมือสครับผิว

 การกำจัดเซลล์ผิวหนังที่ตายแล้วให้หลุดออกไปไม่จำเป็นต้องอาศัยวิธีการที่ใช้เทคนิคสูงและมีค่าใช้จ่ายแพงอย่างการขัดผิวก็ได้ เพียงแค่รู้จักการวิธีสครับผิวที่ดีและใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพเท่านั้นก็เพียงพอ เลือกใช้ถุงมือสำหรับสครับผิวหน้าหรือแผ่นยางซิลิโคนสำหรับสครับผิวหน้าซึ่งผลิตมาให้มีความอ่อนนุ่มอ่อนโยนกับผิวบอบบาง (หลีกเลี่ยงการใช้ฟองน้ำ เพราะมักมีความชื้นและเป็นแหล่งรวมตัวของแบคทีเรีย) หยดผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวหน้าลงไปและถูบนผิวหน้าที่เปียก ขัดนวดเบา ๆ ให้ทั่ว จากนั้นจึงล้างออก เพียงเท่านี้ก็สามารถสครับผิวอย่างอ่อนโยนได้แล้ว

ไม่สครับผิวทุกวันหากผิวแพ้ง่าย

การสครับผิวเพื่อให้เห็นผลที่ดีที่สุด ควรทำเป็นประจำสัปดาห์ละ 1-3 ครั้ง ทั้งนี้ความถี่ขึ้นอยู่กับสภาพผิวหน้า หากคุณเป็นคนผิวมัน ใบหน้าผลิตทั้งเหงื่อและน้ำมันออกมามาก ก็ควรสครับราวสัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง แต่หากเป็นคนผิวแห้ง สครับเพียงสัปดาห์ละครั้งก็เพียงพอแล้ว นอกจากนี้ยังไม่ควรสครับหน้าบ่อยเกินไป เพราะเป็นการรบกวนผิวมากเกินไป และทำให้เกิดอาการระคายเคืองได้

ใช้ผลิตภัณฑ์ที่ผลิตมาเพื่อการสครับผิวหน้าโดยเฉพาะ

อย่าลืมสำรวจผลิตภัณฑ์ที่คุณเลือกใช้ให้มั่นใจว่า เป็นผลิตภัณฑ์เพื่อการสครับที่ออกแบบมาเพื่อผิวอ่อนบางอย่างผิวหน้าโดยเฉพาะ บางคราวสาว ๆ ก็คว้าพลาด หยิบครีมสครับผิวกายมาใช้กับผิวหน้า (หรือบางคนก็ใช้แทนกันไปเลยก็มี) ทำให้เกิดอาการแพ้และระคายเคืองตามมาได้

ปิดท้ายการสครับด้วยมอยส์เจอไรเซอร์เพิ่มความชุ่มชื้นทุกครั้ง

หลังการสครับกำจัดเซลล์ผิวหนังที่ตายแล้วออกจากผิว ผิวก็ดูกระจ่างใสและเรียบเนียนมากขึ้น แต่ทั้งนี้เพื่อให้ผิวทั้งเนียนทั้งนุ่มละมุนต้องไม่ลืมที่จะบำรุงเพิ่มความชุ่มชื้นด้วยมอยส์เจอไรเซอร์ทุกครั้ง ซึ่งผิวหลังการสครับที่ไร้เซลล์ผิวที่ตายแล้วทับถมอยู่ด้านบน ก็สามารถซึมซับสารบำรุงและความชุ่มชื้นได้ดีขึ้น ทำให้ผิวเนียนนุ่ม สีผิวสม่ำเสมอ ทั้งยังช่วยให้รูขุมขนกระชับขึ้นด้วย ส่วนผู้ที่มั่นใจว่าผิวของตัวเองแข็งแรงดีและเว้นขั้นตอนการทาครีมบำรุงหลังการสครับนั้น อาจต้องประสบปัญหาผิวแห้งและริ้วรอยเอาได้ง่าย ๆ


การสครับผิวหน้าเป็นการช่วยขจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วซึ่งทับถมกันอยู่บริเวณผิวหนังชั้นบนสุดหรือชั้นหนังกำพร้าให้หลุดลอกออกไป ช่วยให้ผิวหน้ากระจ่างใส และกระตุ้นการไหลเวียนของโลหิตบริเวณใบหน้า

ผิวหนังประกอบด้วย ชั้นหนังกำพร้า และชั้นหนังแท้

1.ผิวหนังกำพร้า : เป็นชั้นผิวหนังที่อยู่บนสุด ประกอบไปด้วยเซลล์ ซึ่งเซลล์ที่เกิดใหม่นั้นจะถูกสร้างขึ้นชั้นล่างสุดติดกับหนังแท้ และจะเจริญเติบโตจนเคลื่อนมาอยู่ชั้นบนสุด ส่วนที่หลุดลอกออกไปจะเรียกว่า ขี้ไคล

2.หนังแท้ : เป็นชั้นผิวหนังที่อยู่ถัดจากผิวหนังชั้นหนังกำพร้า แต่มีความหนากว่าจะประกอบด้วยโปรตีนหลัก 2 ชนิด คือ เนื้อเยื่อ คอลลาเจน (collagen) และ เนื้อเยื่อ อีลาสติค (elastic)

ข้อดีของการสครับผิว

เป็นการขจัดเซลล์ผิวที่ตายไปแล้วหรือเสื่อมสภาพ หรือหมดอายุแล้วที่ยังตกค้างบนชั้นผิวหนังกำพร้า โดยปกติแล้วผิวหนังจะมีการหลุดลอกของเซลล์ผิวที่ตายอยู่แล้วตามธรรมชาติ โดยใช้เวลาประมาณ 14 วัน ถึงจะมีการผลัดเซลล์ผิว สำหรับบางคนอาจจะใช้เวลานานกว่านี้ในการผลัดเซลล์ผิว ซึ่งส่งผลให้ผิวหน้าหยาบกร้าน ไม่กระจ่างใส เพราะมีเซลล์ผิวที่ตายแล้วแต่ไม่หลุดออกไปได้บังผิวชั้นบนไว้ ทำให้เกิดปัญหาความหมองคล้ำ จุดด่างดำ และริ้วรอยบนผิวหน้า

ปัญหาในการสครับผิว

การทำร้ายผิวชั้นบนอย่างไม่ตั้งใจ เป็นผลมาจากการใช้สครับที่มีขนาดใหญ่ และถูหน้าด้วยวิธีที่รุนแรง เม็ดสครับที่มีความเป็นเหลี่ยมคม บาดและทำลายผิวปกติที่ยังไม่ตายหรือหมดอายุลงไปด้วย ทำให้ผิวหน้าระคายเคือง แสบ ลอก แดง และทำให้เกิดปัญหาต่างๆตามมาอีกมากมาย





การสครับผิวหน้าจึงจำเป็นขั้นตอนของการดูแลผิวหน้าที่จะเป็นอีกขึ้นตอนหนึ่ง ในหนึ่งสัปดาห์ควรสครับหน้าประมาณ 2 ครั้ง เพื่อขจัดเซลล์ผิวที่หมองคล้ำให้หลุดออก สาวคนไหนอยากมีผิวสวย เรียบเนียน และดูกระจ่างใส ต้องลองทำกันดูนะคะ

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS