หากอยากมีผิวหน้าที่ดูกระจ่างใส
สะอาดปราศจากสิ่งอุดตันรูขุมขน การสครับผิวสามารถช่วยคุณได้เป็นอย่างดี
และเชื่อว่าสาว ๆ ทุกคนย่อมรู้ดีอยู่แล้วว่าการสครับผิวนั้นสามารถทำเองได้ที่บ้าน
แต่หลาย ๆ คนก็ยังคิดว่าหากต้องการสครับให้ได้ผลดีจริง ๆ ก็ต้องไปทำที่สปา
หรือทำตามคลีนิกผิวหนังเท่านั้น แต่ความจริงแล้ว
แม้แต่การสครับผิวหน้าด้วยตัวเองก็สามารถทำให้เห็นผลได้ดีเช่นกัน
เพียงแต่ทำอย่างสม่ำเสมอและรู้เคล็ดลับเล็ก ๆ น้อย ๆ ดังต่อไปนี้ค่ะ
ใช้ถุงมือสครับผิว
การกำจัดเซลล์ผิวหนังที่ตายแล้วให้หลุดออกไปไม่จำเป็นต้องอาศัยวิธีการที่ใช้เทคนิคสูงและมีค่าใช้จ่ายแพงอย่างการขัดผิวก็ได้
เพียงแค่รู้จักการวิธีสครับผิวที่ดีและใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพเท่านั้นก็เพียงพอ
เลือกใช้ถุงมือสำหรับสครับผิวหน้าหรือแผ่นยางซิลิโคนสำหรับสครับผิวหน้าซึ่งผลิตมาให้มีความอ่อนนุ่มอ่อนโยนกับผิวบอบบาง
(หลีกเลี่ยงการใช้ฟองน้ำ เพราะมักมีความชื้นและเป็นแหล่งรวมตัวของแบคทีเรีย)
หยดผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวหน้าลงไปและถูบนผิวหน้าที่เปียก ขัดนวดเบา ๆ ให้ทั่ว
จากนั้นจึงล้างออก เพียงเท่านี้ก็สามารถสครับผิวอย่างอ่อนโยนได้แล้ว
ไม่สครับผิวทุกวันหากผิวแพ้ง่าย
การสครับผิวเพื่อให้เห็นผลที่ดีที่สุด
ควรทำเป็นประจำสัปดาห์ละ 1-3 ครั้ง ทั้งนี้ความถี่ขึ้นอยู่กับสภาพผิวหน้า
หากคุณเป็นคนผิวมัน ใบหน้าผลิตทั้งเหงื่อและน้ำมันออกมามาก ก็ควรสครับราวสัปดาห์ละ
2-3 ครั้ง แต่หากเป็นคนผิวแห้ง สครับเพียงสัปดาห์ละครั้งก็เพียงพอแล้ว
นอกจากนี้ยังไม่ควรสครับหน้าบ่อยเกินไป เพราะเป็นการรบกวนผิวมากเกินไป
และทำให้เกิดอาการระคายเคืองได้
ใช้ผลิตภัณฑ์ที่ผลิตมาเพื่อการสครับผิวหน้าโดยเฉพาะ
อย่าลืมสำรวจผลิตภัณฑ์ที่คุณเลือกใช้ให้มั่นใจว่า
เป็นผลิตภัณฑ์เพื่อการสครับที่ออกแบบมาเพื่อผิวอ่อนบางอย่างผิวหน้าโดยเฉพาะ
บางคราวสาว ๆ ก็คว้าพลาด หยิบครีมสครับผิวกายมาใช้กับผิวหน้า
(หรือบางคนก็ใช้แทนกันไปเลยก็มี) ทำให้เกิดอาการแพ้และระคายเคืองตามมาได้
ปิดท้ายการสครับด้วยมอยส์เจอไรเซอร์เพิ่มความชุ่มชื้นทุกครั้ง
หลังการสครับกำจัดเซลล์ผิวหนังที่ตายแล้วออกจากผิว
ผิวก็ดูกระจ่างใสและเรียบเนียนมากขึ้น
แต่ทั้งนี้เพื่อให้ผิวทั้งเนียนทั้งนุ่มละมุนต้องไม่ลืมที่จะบำรุงเพิ่มความชุ่มชื้นด้วยมอยส์เจอไรเซอร์ทุกครั้ง
ซึ่งผิวหลังการสครับที่ไร้เซลล์ผิวที่ตายแล้วทับถมอยู่ด้านบน ก็สามารถซึมซับสารบำรุงและความชุ่มชื้นได้ดีขึ้น
ทำให้ผิวเนียนนุ่ม สีผิวสม่ำเสมอ ทั้งยังช่วยให้รูขุมขนกระชับขึ้นด้วย
ส่วนผู้ที่มั่นใจว่าผิวของตัวเองแข็งแรงดีและเว้นขั้นตอนการทาครีมบำรุงหลังการสครับนั้น
อาจต้องประสบปัญหาผิวแห้งและริ้วรอยเอาได้ง่าย ๆ
การสครับผิวหน้าเป็นการช่วยขจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วซึ่งทับถมกันอยู่บริเวณผิวหนังชั้นบนสุดหรือชั้นหนังกำพร้าให้หลุดลอกออกไป
ช่วยให้ผิวหน้ากระจ่างใส และกระตุ้นการไหลเวียนของโลหิตบริเวณใบหน้า
ผิวหนังประกอบด้วย ชั้นหนังกำพร้า
และชั้นหนังแท้
1.ผิวหนังกำพร้า
: เป็นชั้นผิวหนังที่อยู่บนสุด ประกอบไปด้วยเซลล์
ซึ่งเซลล์ที่เกิดใหม่นั้นจะถูกสร้างขึ้นชั้นล่างสุดติดกับหนังแท้
และจะเจริญเติบโตจนเคลื่อนมาอยู่ชั้นบนสุด ส่วนที่หลุดลอกออกไปจะเรียกว่า “ขี้ไคล”
2.หนังแท้
: เป็นชั้นผิวหนังที่อยู่ถัดจากผิวหนังชั้นหนังกำพร้า แต่มีความหนากว่าจะประกอบด้วยโปรตีนหลัก
2 ชนิด คือ เนื้อเยื่อ คอลลาเจน (collagen) และ
เนื้อเยื่อ อีลาสติค (elastic)
ข้อดีของการสครับผิว
เป็นการขจัดเซลล์ผิวที่ตายไปแล้วหรือเสื่อมสภาพ
หรือหมดอายุแล้วที่ยังตกค้างบนชั้นผิวหนังกำพร้า
โดยปกติแล้วผิวหนังจะมีการหลุดลอกของเซลล์ผิวที่ตายอยู่แล้วตามธรรมชาติ
โดยใช้เวลาประมาณ 14 วัน ถึงจะมีการผลัดเซลล์ผิว
สำหรับบางคนอาจจะใช้เวลานานกว่านี้ในการผลัดเซลล์ผิว ซึ่งส่งผลให้ผิวหน้าหยาบกร้าน
ไม่กระจ่างใส เพราะมีเซลล์ผิวที่ตายแล้วแต่ไม่หลุดออกไปได้บังผิวชั้นบนไว้
ทำให้เกิดปัญหาความหมองคล้ำ จุดด่างดำ และริ้วรอยบนผิวหน้า
ปัญหาในการสครับผิว
การทำร้ายผิวชั้นบนอย่างไม่ตั้งใจ
เป็นผลมาจากการใช้สครับที่มีขนาดใหญ่ และถูหน้าด้วยวิธีที่รุนแรง
เม็ดสครับที่มีความเป็นเหลี่ยมคม
บาดและทำลายผิวปกติที่ยังไม่ตายหรือหมดอายุลงไปด้วย ทำให้ผิวหน้าระคายเคือง แสบ
ลอก แดง และทำให้เกิดปัญหาต่างๆตามมาอีกมากมาย
การสครับผิวหน้าจึงจำเป็นขั้นตอนของการดูแลผิวหน้าที่จะเป็นอีกขึ้นตอนหนึ่ง
ในหนึ่งสัปดาห์ควรสครับหน้าประมาณ 2 ครั้ง เพื่อขจัดเซลล์ผิวที่หมองคล้ำให้หลุดออก
สาวคนไหนอยากมีผิวสวย เรียบเนียน และดูกระจ่างใส ต้องลองทำกันดูนะคะ
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น